อนาคตมนุษย์ 3 เผ่าพันธุ์ | คิดอนาคต

โลกมีสรรพชีวิตมากมาย แต่ที่เชื่อว่ามีภูมิปัญญาระดับสูงมีเพียงเผ่าพันธุ์มนุษย์เท่านั้น เนื่องจากสามารถคิด จินตนาการและลงมือกระทำการต่างๆ จนสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมได้
ปัจจุบันเริ่มมีเอไอที่ดูจะเริ่มมีความฉลาด สามารถเลียนแบบคล้ายมนุษย์ในบางด้าน และเก่งกว่ามนุษย์ในบางด้าน ในอนาคตจึงเป็นไปได้ว่ามนุษย์จะไม่เป็นเพียงเผ่าพันธุ์เดียวบนโลกนี้ที่ฉลาด แต่อาจจะมีอีกหลายเผ่าพันธุ์เกิดขึ้น อย่างที่ในนิยายวิทยาศาสตร์ได้สำรวจกันมา
ในฉากเปิดตัวทีวีซีรีส์ใหม่ เรื่อง “Alien: Earth” (2025) ได้ฉายภาพอนาคตโลกที่นอกจากจะมีมนุษย์ธรรมดาแบบพวกเราแล้ว ยังจะมีมนุษย์อีก 3 เผ่าพันธุ์ดำรงอาศัยอยู่ไปพร้อมกัน คือ ไซบอร์ก (Cyborgs) ซินเธติกส์ (Synthetics) และไฮบริด (Hybrid) ในมุมของอนาคตศาสตร์ เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องแต่ง แต่พัฒนาการของมนุษย์ 3 เผ่าพันธุ์ใหม่นี้กำลังมีความก้าวหน้าพอสมควร
เผ่าพันธุ์แรก ไซบอร์ก (Cyborgs) มนุษย์ที่ร่างกายผสานรวมเข้ากับเทคโนโลยีเพื่อฟื้นฟูหรือเสริมสร้างความสามารถทางกายภาพและสติปัญญา ปัจจุบันเทคโนโลยีนี้ได้ก้าวข้ามห้องปฏิบัติการสู่การใช้งานจริงแล้ว หัวใจสำคัญของไซบอร์ก คือ เทคโนโลยีส่วนต่อประสานระหว่างสมองกับคอมพิวเตอร์ (Brain-Computer Interfaces - BCIs) ซึ่งเป็นสะพานเชื่อมระหว่างเจตจำนงทางชีวภาพกับกลไกภายนอก
ความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์ของ Neuralink ในการทดลองกับมนุษย์ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ได้แสดงให้เห็นว่าผู้ป่วยอัมพาตสามารถควบคุมคอมพิวเตอร์และแขนกลได้โดยใช้เพียงความคิด ขณะเดียวกันศูนย์การแพทย์ UC Davis Health ได้พัฒนา BCI ที่ช่วยให้ผู้ป่วยโรคเซลล์ประสาทสั่งการเสื่อม (ALS) กลับมาพูดได้อีกครั้งด้วยความแม่นยำสูง
ในด้านกายภาพ แขนขากลชีวภาพ (Bionic Limbs) รุ่นใหม่ได้ติดตั้งระบบตอบสนองแบบแฮปติก (Haptic Feedback) ทำให้ผู้ใช้สามารถรู้สึกถึงแรงกด พื้นผิว หรืออุณหภูมิผ่านอวัยวะเทียมได้ เทคโนโลยีเหล่านี้กำลังเปลี่ยนอวัยวะเทียมให้กลายเป็นส่วนขยายของร่างกายที่รับรู้และตอบสนองได้อย่างแท้จริง
นีล ฮาร์บิสสัน เป็นตัวอย่างของไซบอร์กคนแรก ผู้มีเสาอากาศฝังในกะโหลกศีรษะเพื่อฟังเสียงแต่รับรู้เป็นสีสัน เป็นตัวอย่างของการเพิ่มประสาทสัมผัสที่มนุษย์ทั่วไปไม่มี เขากล่าวว่า “ผมไม่รู้สึกว่ากำลังใช้เทคโนโลยี ผมรู้สึกว่าผมคือเทคโนโลยี” ซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงทางจิตวิทยาที่ตัวตนและเทคโนโลยีหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว คือ สภาวะของไซบอร์กที่กำลังจะกลายเป็นจริงในไม่ช้า
เผ่าพันธุ์ที่ 2 ซินเธติกส์ (Synthetics) สิ่งมีชีวิตสังเคราะห์ที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ขั้นสูงในร่างกายหุ่นยนต์หรือฮิวแมนอยด์ แตกต่างจากไซบอร์กตรงที่ไม่มีพื้นฐานทางชีวภาพ ปัจจุบันการพัฒนาซินเธติกส์แบ่งออกเป็น 2 แนวทาง แนวทางแรกคือ “หุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรม” มุ่งเน้นการทำงานและความแข็งแกร่งทางกายภาพ เช่น Atlas ของ Boston Dynamics และ Figure 02 ของ Figure AI ที่นำไปใช้ในโรงงานผลิตของฮุนไดและ BMW เพื่อทำงานที่ต้องใช้แรงงานสูงและเป็นอันตราย
แนวทางที่สองคือ “แอนดรอยด์เพื่อสังคม” เน้นการปฏิสัมพันธ์และเลียนแบบพฤติกรรมของมนุษย์ Ameca ของ Engineered Arts มีชื่อเสียงด้านการแสดงออกทางสีหน้าที่เหมือนจริงอย่างน่าทึ่ง ในขณะที่ Sophia ของ Hanson Robotics ได้รับการยอมรับในฐานะ “พลเมืองหุ่นยนต์” คนแรกของโลก ที่สามารถสนทนาและแสดงอารมณ์ได้หลากหลาย
จิตใจที่ขับเคลื่อนซินเธติกส์ คือ แบบจำลองภาษาขนาดใหญ่ (LLMs) เช่น GPT-4 ซึ่งมีความสามารถในการประมวลผลภาษาและให้เหตุผลที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ จุดเปลี่ยนที่แท้จริงจะมาถึงเมื่อเกิดปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป (AGI) ที่มีความสามารถทางปัญญาระดับเดียวกับมนุษย์ คาดการณ์ว่า AGI อาจเกิดขึ้นในช่วงปี 2040-2061 ขณะที่บางคนเชื่อว่าอาจเกิดขึ้นเร็วกว่านั้นมาก การมาถึงของซินเธติกส์ที่สมบูรณ์แบบจะสร้างคู่แข่งที่น่าเกรงขามสำหรับเผ่าพันธุ์มนุษย์ในทุกมิติ
เผ่าพันธุ์ที่ 3 ไฮบริด (Hybrid) เป็นแนวคิดที่ท้าทายและล้ำยุคที่สุด เป็นการถ่ายโอนจิตสำนึกของมนุษย์จากสมองชีวภาพไปยังสสารดิจิทัลอย่างสมบูรณ์ หรือเรียกว่าการอัปโหลดจิตใจ (Mind Uploading) มีรากฐานมาจากการจำลองสมองทั้งหมด (Whole Brain Emulation)
หากทำได้สำเร็จ มนุษย์จะสามารถดำรงอยู่ในร่างที่ไม่ใช่ชีวภาพ อาจเป็นหุ่นยนต์หรือแม้แต่ในโลกเสมือนจริง ทำให้สามารถหลุดพ้นจากข้อจำกัดทางชีวภาพ เช่น ความแก่ชราและความตาย
เทคโนโลยีนี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น โครงการอย่าง Blue Brain Project กำลังพยายามสร้างแบบจำลองดิจิทัลของสมอง และได้สร้างแผนที่เซลล์สมอง 3 มิติฉบับแรกขึ้นมาได้สำเร็จ แต่กระบวนการประมวลผลข้อมูลซับซ้อนเกินกว่าเทคโนโลยีปัจจุบันจะรับมือได้ และเกิดคำถามสำคัญที่ตามมาว่าจิตใจที่ถูกอัปโหลดขึ้นมานั้นเป็นตัวตนคนเดิม หรือเป็นเพียงสำเนาดิจิทัลที่สมบูรณ์แบบ?
การเกิดขึ้นของมนุษย์สามเผ่าพันธุ์จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคมอย่างมาก ในทางเศรษฐกิจ การมาถึงของซินเธติกส์และไซบอร์ก อาจทำให้เกิดการว่างงานครั้งใหญ่ และสร้างระบบชนชั้นวรรณะทางชีวภาพ ที่ความสามารถทางกายภาพและสติปัญญาถูกกำหนดโดยการเข้าถึงเทคโนโลยี และเกิดคำถามตามมามากมาย
เช่น ซินเธติกส์มีสถานะเป็นบุคคลหรือไม่? ใครคือผู้รับผิดชอบหากไซบอร์กที่ถูกแฮ็กทำร้ายผู้อื่น? และจะปกป้องความเป็นส่วนตัวของจิตใจได้อย่างไรในยุคที่สมองสามารถเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ได้? แนวคิดเรื่องสิทธิทางระบบประสาท (Neurorights) เริ่มเกิดขึ้นเพื่อปกป้องเสรีภาพทางความคิดและอัตลักษณ์ส่วนบุคคลจากการรุกล้ำของเทคโนโลยี
ไม่แน่ว่าภายในศตวรรษนี้เอง คำศัพท์ล้ำๆ อย่างไซบอร์ก (Cyborgs) ซินเธติกส์ (Synthetics) และไฮบริด (Hybrid) กำลังใกล้ที่จะเดินออกจากนิยายไซไฟมาอยู่ร่วมกับเราในสังคมแล้ว







