สวก.ผนึก 5 มหาวิทยาลัย วิจัยพัฒนา 8 พืช-สัตว์ สู่เกษตรคาร์บอนต่ำ

สวก.ผนึก 5 มหาวิทยาลัย วิจัยพัฒนา 8 พืช-สัตว์ สู่เกษตรคาร์บอนต่ำ

สวก.ผนึก 5 มหาวิทยาลัย วิจัยพัฒนา 8 พืช-สัตว์เศรษฐกิจไทย สู่เกษตรคาร์บอนต่ำ เป็นต้นแบบในผลผลิตทางการเกษตรอื่น ๆ มุ่งตอบโจทย์วิชาการ ขับเคลื่อนนโยบายระดับประเทศ

สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ สวก.ลงนามบันทึกความเข้าใจด้าน “การวิจัยและพัฒนาแนวทางสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในภาคการเกษตร” ร่วมกับ 5 มหาวิทยาลัย ประกอบด้วย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) มหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) มหาวิทยาลัยศิลปากร (มศก.) มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี (ม.อบ.) และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.)

โดยมี ดร.วิชาญ อิงศรีสว่าง ผอ.สวก. ศ.ดร.นพ.พงษ์รักษ์ ศรีบัณฑิตมงคล อธิการบดี มช. รศ.นพ.ชาญชัย พานทองวิริยะกุล อธิการบดี มข. ศ.ดร.ธนะเศรษฐ์ ง้าวหิรัญพัฒน์ อธิการบดี มศก. รศ.ดร.ชุตินันท์ ประสิทธิ์ภูริปรีชา อธิการบดี ม.อบ. และรศ.ดร.สุวิทย์ แซ่เตีย อธิการบดี มจธ.เป็นผู้แทนร่วมลงนาม และมีผู้บริหาร ผู้แทนจากมหาวิทยาลัยและหน่วยงานพันธมิตรเข้าร่วม ณ ห้องรัตนโกสินทร์ โรงแรมเดอะ สุโกศล กรุงเทพฯ 

ดร.วิชาญ อิงศรีสว่าง ผู้อำนวยการ สวก.กล่าวถึงความร่วมมือในครั้งนี้ว่า ถือเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการลดก๊าซเรือนกระจกในภาคเกษตรอย่างเป็นรูปธรรม โดย สวก.มุ่งหวังให้เกิดการเชื่อมโยงองค์ความรู้ เทคโนโลยี และทรัพยากรจากพันธมิตรทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานภาครัฐที่สนับสนุนเชิงนโยบายมหาวิทยาลัยที่มีบทบาทด้านองค์ความรู้และการวิจัย ภาคเอกชนที่สามารถนำเทคโนโลยีไปใช้ในเชิงพาณิชย์ ตลอดจนชุมชนเกษตรกรในพื้นที่ ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญ เราเชื่อว่าการบูรณาการที่ดีจะทำให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน ลดต้นทุนการผลิต เพิ่มประสิทธิภาพ และช่วยสร้างภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระดับฐานราก

สวก.ผนึก 5 มหาวิทยาลัย วิจัยพัฒนา 8 พืช-สัตว์ สู่เกษตรคาร์บอนต่ำ

ด้าน ศ.ดร.นพ.พงษ์รักษ์ อธิการบดี มช.กล่าวว่า มช. ให้ความสำคัญกับการสนับสนุนงานวิจัยและนวัตกรรมที่ก่อให้เกิดประโยชน์อย่างยั่งยืน ทั้งต่อสิ่งแวดล้อม เกษตรกร และสังคมโดยรวม เรามุ่งเน้นการถ่ายทอดองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมจากห้องเรียนและห้องปฏิบัติการออกสู่ภาคสนาม เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรไทย ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และขับเคลื่อนภาคเกษตรกรรมไปสู่ความยั่งยืนในอนาคต 

ทั้งนี้ มช. ยังรับผิดชอบงานวิจัยเกี่ยวกับระบบการปลูกข้าวเหนียวและข้าวไร่ร่วมกับไบโอชาร์ การปลูกข้าวโพดร่วมกับถั่ว การพัฒนาคุณภาพอาหารของโคนม และการจัดการระบบหมุนเวียนน้ำในการเพาะเลี้ยงปลานิล เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นพืชและสัตว์เศรษฐกิจสำคัญของประเทศ

ขณะเดียวกัน มช.ยังมีบทบาทสำคัญในฐานะผู้จัดการแผนงานกลาง เพื่อขับเคลื่อนและบูรณาการความร่วมมือด้านการวิจัยระหว่างมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั่วประเทศ โดยมุ่งหวังให้เกิดการทำงานร่วมกันระหว่างนักวิจัยจากหลากหลายสถาบันในการพัฒนาโจทย์วิจัยร่วม ต่อยอดองค์ความรู้ และผลักดันผลงานวิจัยไปสู่การใช้ประโยชน์จริง ทั้งในระดับพื้นที่และระดับประเทศ

รศ.นพ.ชาญชัย อธิการบดี มข.ระบุว่า มข.รับผิดชอบงานวิจัยอ้อยในโครงการฯ ที่มุ่งเน้นการลดการเผาในไร่อ้อย ดังนั้นจะมีการพัฒนางานวิจัยที่ตอบโจทย์การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในห่วงโซ่การผลิตอ้อย ตั้งแต่การจัดการไร่ การบริหารการใช้เครื่องจักรกลเกษตร การใช้สารปรับปรุงดินร่วมกับไบโอชาร์ ไปจนถึงการจัดการใบอ้อยหลังการเก็บเกี่ยว ตลอดจนการพัฒนาเทคโนโลยีและแนวปฏิบัติที่เกษตรกรสามารถนำไปใช้จริง รวมถึงการสร้างต้นแบบการผลิตอ้อยที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อให้อุตสาหกรรมอ้อยของไทยก้าวสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนได้อย่างยั่งยืน

ศ.ดร.ธนะเศรษฐ์ อธิการบดี มศก. กล่าวว่า มศก.ทำวิจัยด้านสับปะรด โดยนำองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อพัฒนานวัตกรรมสำหรับลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคการผลิตสับปะรด ทั้งในแปลงเพาะปลูก กระบวนการจัดการซากเหลือทิ้ง สู่การจัดการปุ๋ย ไปจนถึงการสร้างมาตรฐานการผลิตที่ยั่งยืน 

เราตั้งใจทำงานร่วมกับชุมชนเพื่อยกระดับกระบวนการผลิตของเกษตรกร ท้ายที่สุดเราหวังให้เกิดแนวปฏิบัติที่ดีในการปลูกสับปะรด ทั้งในเชิงสิ่งแวดล้อมและการแข่งขันในตลาดโลกภายใต้กรอบ Carbon Neutrality

ด้าน รศ.ดร.ชุตินันท์ อธิการบดี ม.อบ. กล่าวว่า ม.อบ. ร่วมรับผิดชอบด้านการวิจัยเกี่ยวกับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ โคเนื้อและปลานิล ซึ่งมีความเชี่ยวชาญระบบการเลี้ยงสัตว์น้ำและปศุสัตว์ โดยเฉพาะ โคเนื้อ และปลานิล ซึ่งเป็นสัตว์เศรษฐกิจสำคัญของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ดังนั้น ม.อบ.จะพัฒนาแนวทางการเลี้ยงที่ลดการปล่อยก๊าซมีเทน เช่น การจัดการด้านอาหารของโคนม การจัดการน้ำเสียจากบ่อปลา การใช้วัสดุชีวภาพในคอกโค ซึ่งสามารถขยายผลสู่เกษตรกรรายย่อยในชุมชนได้โดยตรง 

อีกทั้งยังร่วมมือกับภาคเอกชนในการทดสอบนวัตกรรมใหม่ ๆ กับหน่วยงานรัฐเพื่อผลักดันนโยบายสนับสนุน การเชื่อมโยงนี้จะทำให้เกิดระบบการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสร้างรายได้ที่มั่นคงแก่เกษตรกรในระยะยาว

ศ.ดร.สุวิทย์ อธิการบดี มจธ.กล่าวว่า มจธ. นำองค์ความรู้และเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการสวนยางพาราและปาล์มน้ำมันอย่างยั่งยืน เพื่อช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยมุ่งเน้นการพัฒนาแนวปฏิบัติทางการเกษตรตามมาตรฐานสากล ควบคู่กับการพัฒนาระบบตรวจวัดและติดตามปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และให้คำแนะนำเชิงเทคนิคแก่เกษตรกรเพื่อยกระดับการผลิตให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

นอกจากนี้ยังมี องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. เข้าร่วมสนับสนุนและเป็นพันธมิตรสำคัญในการขับเคลื่อนโครงการ โดย อบก. มีบทบาทสำคัญในการให้คำปรึกษาด้านเทคนิคเกี่ยวกับการคำนวณและติดตามการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงให้การรับรองมาตรฐานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการลดคาร์บอนในภาคการเกษตร ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้ผลงานวิจัยและแนวทางที่พัฒนาขึ้นสามารถนำไปใช้ได้จริงในระดับประเทศและสากล ทั้งยังสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) และยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย

สวก.ผนึก 5 มหาวิทยาลัย วิจัยพัฒนา 8 พืช-สัตว์ สู่เกษตรคาร์บอนต่ำ

ทั้งนี้ ผศ.ดร.ธัญญานุภาพ อานันทนะ รองอธิการบดี มช. ในฐานะผู้อำนวยการแผนงานฯ ได้กล่าวถึงบทบาทความร่วมมือของ 6 หน่วยงานในการวิจัยและพัฒนาแนวทางสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในภาคการเกษตร ว่าโครงการนี้ มุ่งตอบโจทย์ทั้งทางวิชาการและการขับเคลื่อนนโยบายระดับประเทศ ผ่าน 3 วัตถุประสงค์หลัก คือ 

1. เพื่อจัดทำข้อมูลเส้นฐาน (Baselines) การปล่อยก๊าซเรือนกระจกในพืชและสัตว์เศรษฐกิจ 8 ชนิดที่เป็นตัวแทนของประเทศ และใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงในการกำหนดแนวทางลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างมีประสิทธิภาพ 

2. เพื่อพัฒนาวิธีการที่เป็นมาตรฐานในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกลุ่มพืชและสัตว์เศรษฐกิจ โดยมุ่งเน้นให้เกิดความน่าเชื่อถือ สามารถใช้เป็นมาตรฐานกลางในการเก็บข้อมูล ประเมิน และเทียบเคียงผลลัพธ์ได้ทั้งในระดับประเทศและนานาชาติ 

3. เพื่อจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายและแผนในการขับเคลื่อนภาคการเกษตรของไทยสู่ Carbon Net Zero 

“ผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นจากโครงการนี้จะนำไปสู่การพัฒนา ระบบบริหารจัดการสินค้าเกษตรที่มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนตลอดห่วงโซ่การผลิต โดยตั้งเป้าหมายชัดเจนว่าจะสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ภายในปี 2570 เพื่อสร้างการเกษตรไทยให้มีศักยภาพในการแข่งขันในเวทีโลก ตอบโจทย์ทั้งสิ่งแวดล้อม และความต้องการของตลาดสากลอย่างแท้จริง ซึ่งโครงการดังกล่าวยังเป็นต้นแบบเพื่อขยายผลในผลผลิตทางการเกษตรอื่น ๆ ของไทยในอนาคต” ผศ.ดร.ธัญญานุภาพ กล่าว