ดีลที่ดี...ต้อง Co-Create

เมื่อกลางปีนี้ KPMG ประเทศไทย เผยแพร่รายงาน “Doing Deals in Thailand 2025” ที่เผยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงการควบรวม และซื้อกิจการ (M&A) ในไทย ซึ่งไม่ได้เน้นแค่เรื่องตัวเลขหรือขนาดของดีลอีกต่อไป แต่เป็นการสะท้อนถึงทิศทางของการใช้ดีลเป็นเครื่องมือในการสร้างธุรกิจใหม่ และเร่งนวัตกรรม

ข้อมูลในรายงานระบุว่า กว่า 66% ของดีลในไทยเกิดจากความต้องการเข้าสู่ตลาดใหม่ หรือสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ ขณะที่ดีลที่เน้นการขยายตลาดเดิมนั้นลดลงเหลือเพียง 18% เท่านั้น ซึ่งเป็นแนวโน้มที่ชี้ชัดว่า ตลาด M&A วันนี้ไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยการ “ซื้อเพื่อโต” แบบเดิมอีกต่อไป แต่กลายเป็นกลยุทธ์ “ซื้อเพื่อเปลี่ยน” - เปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจ เปลี่ยนความสามารถ และเปลี่ยนตำแหน่งในตลาด 

การเจรจาดีลจึงไม่ใช่เรื่องราคาหรือเงื่อนไขเท่านั้น แต่เป็นการออกแบบอนาคตร่วมกันอย่างซับซ้อน และมีชั้นเชิง ธุรกรรมจำนวนมากถูกออกแบบให้ยืดหยุ่นสูง เช่น แบ่งจ่ายตามผลงานจริง หรือการวางแผนควบรวมระบบและวัฒนธรรมองค์กร (integration) ตั้งแต่ก่อนจรดปากกาเซ็นสัญญา 

ยิ่งไปกว่านั้น ขั้นตอน Due Diligence วันนี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่บัญชีหรือกฎหมาย แต่ลึกไปถึงระบบ IT, ความพร้อมของทีม, แนวทาง ESG และศักยภาพในการขยายกิจการภายหลังดีล เพราะสิ่งที่ถูกซื้อ ไม่ใช่แค่บริษัท แต่คือ “ความสามารถในการเติบโตต่อไป”

ถ้ามองในภาพรวม กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการเคลื่อนไหวมากที่สุดในปีนี้ ได้แก่

  1. เทคโนโลยี
  2. เฮลท์เทคและไบโอเทค
  3. อุตสาหกรรมแปรรูปและอาหาร

สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ดีลเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะเห็นโอกาสทางรายได้ แต่เกิดเพราะธุรกิจต่างต้องการ “เครื่องยนต์ตัวใหม่” ที่จะพาองค์กรไปสู่อนาคต 

ในกลุ่มเทคโนโลยี บริษัทขนาดใหญ่ในไทยเริ่มหันมาซื้อกิจการของสตาร์ตอัปที่พัฒนาเอไอ, Cybersecurity หรือ SaaS โดยเน้นการดึงทีมงานคุณภาพ และเทคโนโลยีที่สามารถเชื่อมต่อเข้ากับระบบขององค์กรได้ทันที หลายดีลไม่ได้มองแค่ผลิตภัณฑ์ แต่ให้ความสำคัญกับทีมและไอเดีย 

ฝั่งเฮลท์เทค เราเห็นการลงทุนจากกลุ่มโรงพยาบาลที่ต้องการนำระบบวิเคราะห์ภาพทางการแพทย์ด้วยเอไอมาใช้ เพื่อปรับปรุงบริการของตนเองโดยตรง ไม่ใช่แค่เพื่อสร้างรายได้จากการขายเทคโนโลยี

ในกลุ่ม F&B และอุตสาหกรรมแปรรูป หลายองค์กรเก่าแก่เริ่มเข้าซื้อผู้ผลิตอาหารจากโปรตีนทางเลือก หรือบริษัทที่มีนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ย่อยสลายได้ เพื่อตอบโจทย์ความยั่งยืน และผู้บริโภคยุคใหม่

แล้วบทเรียนเหล่านี้มีความหมายอย่างไรสำหรับสตาร์ตอัป และผู้บริหารองค์กร สำหรับธุรกิจในวันนี้ การมีผลิตภัณฑ์ที่ดีอาจไม่พออีกต่อไป สิ่งที่ตลาดและนักลงทุนมองหาคือองค์กรที่ “พร้อมจะเติบโตไปกับพาร์ตเนอร์” ไม่ว่าจะผ่านการควบรวม หรือการร่วมพัฒนา 

ปัจจัยที่จะทำให้ดีลเกิดขึ้น ไม่ใช่แค่ไอเดียหรือเทคโนโลยี แต่คือความพร้อมในการร่วมมือ ทั้งในมิติของทีม ระบบหลังบ้าน โครงสร้างธุรกิจที่โปร่งใส และความชัดเจนเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา ดีลในวันนี้จึงมีหลากหลายรูปแบบมากขึ้น 

เช่น เปิดให้เข้ามาถือหุ้น แลกกับการร่วมพัฒนาเทคโนโลยี หรือแบ่งรายได้จากตลาดที่สร้างไปด้วยกัน โมเดลแบบนี้ช่วยลดความเสี่ยงของทั้งสองฝ่าย และเปิดโอกาสให้เติบโตแบบยั่งยืนได้มากกว่าการขายกิจการ

ท้ายที่สุด นักลงทุนในภูมิภาคนี้ไม่ได้มองเพียงผลตอบแทนระยะสั้น แต่กำลังมองหาธุรกิจที่พร้อมจะเติบโตไปด้วยกันในระยะยาว เมื่อเงินทุนไม่ใช่อาวุธลับอีกต่อไป ประเด็นสำคัญจึงไม่ใช่ “ใครจะเข้ามาซื้อเรา” แต่คือ “เราพร้อมจะก้าวไปสร้างอนาคตร่วมกับใคร” ต่างหาก