ผลสำรวจค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนา 1.68 แสนล้านบาท ลด16.5%

วช. เผยผลสำรวจค่าใช้จ่ายและบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนาของไทย ปี 2567 R@D ย้ำชัดใช้นวัตกรรมหนุนการเติบโตประเทศ
KEY
POINTS
- ผลสำรวจค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาของประเทศไทย ปี 2567 รวมทั้งสิ้น 168,106 ล้านบาท มีอัตราเติบโตลดลงร้อยละ 16.5
- ค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาในภาคเอกชน 112,126 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 23.4 ในขณะที่ภาคอื่น ๆ (ภาครัฐบาล อุดมศึกษา รัฐวิสาหกิจ และเอกชนไม่ค้ากำไร) มีค่าใช้จ่าย 55,980 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.6 หรือคิดเป็นสัดส่วนภาคเอกชนต่อภาคอื่นๆ อยู่ที่ร้อยละ 67 : 33
- มีบุคลากร R&D รายหัว 220,629 คน ลดลง (9%) และบุคลากร R&D (แบบ FTE) 150,081 คน-ปี ลดลง 9%
สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จัดงานแถลงข่าว “ผลการสำรวจข้อมูลด้านการวิจัยและพัฒนาของประเทศไทย ปี 2567”
ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า ผลสำรวจค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาของประเทศไทย ปี 2567 พบว่า ประเทศไทยมีค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนารวมทั้งสิ้น 168,106 ล้านบาท มีอัตราเติบโตลดลงร้อยละ 16.5
เป็นค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาในภาคเอกชน 112,126 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 23.4 ในขณะที่ภาคอื่น ๆ (ภาครัฐบาล อุดมศึกษา รัฐวิสาหกิจ และเอกชนไม่ค้ากำไร) มีค่าใช้จ่าย 55,980 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.6 หรือคิดเป็นสัดส่วนภาคเอกชนต่อภาคอื่นๆ อยู่ที่ร้อยละ 67 : 33
ภาคอุตสาหกรรมการผลิตมีค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาอยู่ที่ 54,487 ล้านบาท (ลดลงร้อยละ 30)
ภาคอุตสาหกรรมค้าส่ง/ค้าปลีกมีค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาอยู่ที่ 20,665 ล้านบาท (ลดลงร้อยละ 37)
แม้ว่าภาคอุตสาหกรรมการบริการมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น มีมูลค่า 36,973 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 ) ประกอบกับโครงสร้างค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาในภาคเอกชน
ที่ภาคอุตสาหกรรมการผลิตมีค่าใช้จ่ายวิจัยและพัฒนาในสัดส่วนสูงกว่าภาคอุตสาหกรรมบริการและภาคอุตสาหกรรมค้าส่งค้าปลีก จึงทำให้การใช้จ่ายวิจัยและพัฒนาภาคเอกชนโดยรวมลดลง
นอกจากนี้ อุตสาหกรรมขนาดใหญ่มีค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาในสัดส่วนสูงสุด ประมาณร้อยละ 94 (105,617.95 ล้านบาท)
ถัดมาเป็นอุตสาหกรรมขนาดกลาง ร้อยละ 5 (5,624.88 ล้านบาท) และอุตสาหกรรมขนาดย่อม ร้อยละ 1 (882.72 ล้านบาท) ตามลำดับ และพบว่าการใช้จ่ายด้านวิจัยและพัฒนาในภาครวมของอุตสาหกรรมลดลงเช่นกัน
ผลจากการสำรวจยังพบว่า สาเหตุที่ภาคเอกชนลดค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนา มีดังนี้
(1) บริษัทมีความจำเป็นต้องบริหารจัดการค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาให้มีประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อลดต้นทุน
(2) ผลกระทบทางเศรษฐกิจ
(3) ในปีที่ผ่านมาบางบริษัทมีการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาในเรื่องครุภัณฑ์ และห้องปฏิบัติการทดลอง จึงทำให้มีการลงทุนลดลง
จากการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า แนวโน้มการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาเพื่อสนับสนุนการพัฒนาประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในสาขาอาหารแห่งอนาคต (Future Food) และการใช้สมุนไพรไทยเพื่อป้องกันโรค อาทิ โควิด-19 รวมถึงการเพิ่มมูลค่าผลผลิตเกษตรเพื่อการพึ่งพาตนเองด้านการแพทย์
นอกจากนี้ ยังมีการวิจัยที่นำอัตลักษณ์และวัฒนธรรมท้องถิ่นมาเสริมสร้างรายได้แก่ชุมชนเศรษฐกิจฐานราก ผ่านการประยุกต์ภูมิศาสตร์สังคมและเศรษฐกิจ (Social/Economic Geography)
สำหรับบุคลากรวิจัยและพัฒนา (R&D) พบว่า แม้จะได้รับผลกระทบไม่มาก แต่มีแนวโน้มผันผวนตามธรรมชาติ เช่น การเกษียณและนักวิจัยใหม่เข้ามาทดแทน
ในปีสำรวจล่าสุด มีบุคลากร R&D รายหัว 220,629 คน ลดลง (9%) และบุคลากร R&D (แบบ FTE) 150,081 คน-ปี ลดลง 9%
โดยจำแนกเป็นนักวิจัย 114,169 คน-ปี (76%) ผู้ช่วยนักวิจัย 22,971 คน-ปี (15%) และผู้สนับสนุนงานวิจัย 12,941 คน-ปี (9%) คิดเป็นสัดส่วน 23 คน-ปีต่อประชากร 10,000 คน ในจำนวนนี้อยู่ในภาคเอกชน 68% และภาคอื่น ๆ 32%
อย่างไรก็ตาม แม้การใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาของภาคเอกชนในปัจจุบันจะลดลง ส่งผลกระทบต่อภาพรวมการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาของประเทศ อันเนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
อย่างไรก็ดี สถานการณ์ในปัจจุบัน มีแนวโน้มการปรับตัวที่ดีขึ้น หากเศรษฐกิจของประเทศ สามารถกลับมาขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการกระตุ้นให้ภาคเอกชนเพิ่มการลงทุน ในด้านการวิจัยและพัฒนา
ประกอบกับนโยบายของ กระทรวง อว. ที่ให้ความสำคัญกับการใช้ประโยชน์จากงานวิจัย โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมการนำผลงานวิจัยและพัฒนาไปใช้ประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อสนับสนุนการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ จากผลการสำรวจข้อมูลด้านการวิจัยและพัฒนาของประเทศไทย ปี 2567 พบว่าหากเศรษฐกิจประเทศกลับมาขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับนโยบายรัฐที่ผลักดันการนำผลงานวิจัยไปใช้จริง
จะช่วยกระตุ้นให้ภาคเอกชนกลับมาลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาได้อย่างเข้มแข็งอีกครั้ง และช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ประเทศในระยะยาว
ภายหลังการแถลงมีการเสวนาในประเด็น “นโยบายการขับเคลื่อน ววน. เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ” โดย ดร.กรัณฑรัตน์ นาขวา ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ
สอวช. เผยนโยบายขับเคลื่อน ววน.ยกระดับการแข่งขันของประเทศในระยะยาว
ดร.กรัณฑรัตน์ ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของระบบวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) ในฐานะกลไกเชิงยุทธศาสตร์ที่มีบทบาทสำคัญต่อการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนา “ระบบนิเวศนวัตกรรม” ที่เอื้อต่อการสร้างผู้ประกอบการฐานนวัตกรรม หรือ Innovation-Driven Enterprise (IDE) ซึ่งถือเป็นแรงขับเคลื่อนใหม่ของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว
อีกทั้งยังเน้นการปลดล็อกกฎหมายและข้อจำกัดที่เป็นอุปสรรคต่อธุรกิจนวัตกรรม เช่น การตั้ง Holding Company และการดำเนินโครงการในลักษณะแซนด์บ็อกซ์ ซึ่งเป็นแนวทางสำคัญที่ สอวช. ผลักดันอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การพัฒนานวัตกรรมสามารถเกิดขึ้นและนำไปใช้ได้จริง
นอกจากนี้ ยังได้กล่าวถึงการส่งเสริมกลไกสนับสนุนเชิงพาณิชย์ ทั้งการลงทุนร่วมระหว่างรัฐกับภาคเอกชน รวมถึงการขยายตลาดให้กับผู้ประกอบการผ่านแพลตฟอร์มระดับประเทศ
อย่าง ECIP (E-Commercial and Innovation Platform) ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการให้มีความสามารถพัฒนาสินค้านวัตกรรมและนำออกสู่ตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ
โดยใช้ประโยชน์จากเครือข่ายและองค์ความรู้ที่มีอยู่เดิมของอุทยานวิทยาศาสตร์ หน่วยบ่มเพาะธุรกิจ และหน่วยสนับสนุนต่าง ๆ
ในด้านการอุดมศึกษา ดร.กรัณฑรัตน์ กล่าวถึง “Higher Education Sandbox” ซึ่งเปิดโอกาสให้สถาบันอุดมศึกษาสามารถออกแบบการจัดการเรียนการสอนในรูปแบบใหม่ที่แตกต่างจากมาตรฐานเดิม
โดยเน้นความยืดหยุ่น ทันสมัย และตอบโจทย์ความต้องการของภาคอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
กลไกนี้จะช่วยให้การผลิตกำลังคนระดับสูงมีสมรรถนะตรงกับความต้องการของประเทศ และยังช่วยขยายโอกาสให้ประชาชนทุกกลุ่มเข้าถึงการศึกษาระดับอุดมศึกษาที่มีคุณภาพได้มากยิ่งขึ้น
การบรรยายครั้งนี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงแนวทางการขับเคลื่อนนโยบาย ววน. ที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ ทั้งในมิติของเศรษฐกิจ การพัฒนากำลังคน และการสร้างระบบนิเวศนวัตกรรมที่ยั่งยืน ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญในการยกระดับศักยภาพการแข่งขันของประเทศไทยในระยะยาว







