ถ่านชีวภาพ ไบโอชาร์ เทคโนโลยีกักเก็บคาร์บอน-เสริมพลังดิน

“เทคโนโลยีไบโอชาร์” หนึ่งในกลไกที่จะช่วยประเทศไทยบรรลุเป้าหมายมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2065
KEY
POINTS
- ไบโอชาร์ เป็นวัสดุอเนกประสงค์ที่ช่วยลดโลกร้อน ช่วยกักเก็บคาร์บอนในดินเป็นเวลาหลายร้อยถึงหลายพันปี ลดการปล่อย ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ มีสมบัติเด่นในการดูดซับสารและปรับปรุงคุณสมบัติดิน
- สวทช.ร่วมกับหน่วยงานทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ จัดทำมาตรฐานผลิตภัณฑ์ไบโอชาร์ คาดจะเปิดประชาพิจารณ์ตัวร่างได้ภายในปี 2568
- เอ็มเทคยังส่งเสริมการสร้างเตาไพโรไลซิส ซึ่งเป็นคีย์สำคัญสำหรับผลิตไบโอชาร์ที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล มีระบบควบคุมการปล่อยมลพิษที่ผ่านมาตรฐานมลพิษทางอากาศ
ทั้งยังเป็นทางเลือกที่ทั่วโลกให้ความสนใจในการทำโครงการคาร์บอนเครดิต ซึ่งมีมาตรฐานสากลรองรับการผลิตและการใช้ไบโอชาร์ในการลดก๊าซเรือนกระจก
ไบโอชาร์ (biochar) คือ ถ่านชีวภาพที่ได้จากการนำชีวมวล เช่น เศษไม้ ขยะอินทรีย์ และวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ไปผ่านกระบวนการเผาในสภาพที่มีออกซิเจนจำกัดหรือไม่มีออกซิเจน (ไพโรไลซิส)
ทำให้เกิดเป็นวัสดุที่มีรูพรุนสูงและอุดมไปด้วยคาร์บอน สามารถใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย โดยเฉพาะการปรับปรุงคุณภาพดิน และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ประเทศไทยมีอุปทานของชีวมวลในปริมาณมาก หากสามารถนำชีวมวลเหล่านี้มาผลิตไบโอชาร์เพื่อใช้ประโยชน์ในภาคการเกษตรและภาคอุตสาหกรรมก็ย่อมจะช่วยบรรเทาปัญหาสิ่งแวดล้อมได้
ปี 68 ลุ้นมาตรฐานไบโอชาร์
งานสัมมนาหัวข้อ“กุญแจสำคัญสู่ Net Zero Emission ด้วยเทคโนโลยีไบโอชาร์ ผนึกกำลังภาครัฐ ภาควิชาการ ภาคการเกษตร และภาคอุตสาหกรรม” ในงานประชุมวิชาการ NAC2025
นักวิจัยจากศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) อธิบายว่า ไบโอชาร์มีโครงสร้างทางเคมีและกายภาพที่มีเสถียรภาพ 70-80% สามารถกักเก็บในดินได้หลายร้อยปี ซึ่งจะช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ในชั้นบรรยากาศได้
อย่างไรก็ดี แผนการดำเนินการนี้จะสำเร็จได้ตลอดห่วงโซ่คุณค่า (value chain) จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากหลายภาคส่วน
ปริมาณก๊าซคาร์บอนที่ไบโอชาร์ 1 ตันสามารถจับได้นั้นขึ้นอยู่กับวัตถุดิบชีวมวลและกระบวนการผลิต แต่โดยทั่วไปแล้วสามารถสามารถประมาณได้ ดังนี้
ไบโอชาร์ 1 ตัน สามารถกักเก็บก๊าซคาร์บอน 2.5 ถึง 3.0 ตันคาร์บอนเทียบเท่า ทั้งนี้ เป้าหมายของไทยที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 20-25% หรือ 111-139 ล้านตันคาร์บอนเทียบเท่าภายในปี 2573
ด้วยปริมาณชีวมวลในไทยสามารถผลิตไบโอชาร์ 12 ล้านตันหรือประมาณ 10% ของ 120 ล้านตัน ก็จะตอบโจทย์ให้กับประเทศไทยได้
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้ร่วมกับหน่วยงานทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ เช่น กรมวิชาการเกษตร และสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ในการผลักดันการใช้ประโยชน์จากไบโอชาร์
เช่น ใช้เป็นสารปรับปรุงดินสำหรับปลูกพืชเศรษฐกิจ หรือใช้เป็นส่วนผสมในกลุ่มผลิตภัณฑ์ซีเมนต์ คอนกรีตและผลิตภัณฑ์วัสดุก่อสร้างเพื่อกักเก็บคาร์บอน
พร้อมทั้งร่วมกันจัดทำมาตรฐานผลิตภัณฑ์ไบโอชาร์สำหรับการเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม โดยมาตรฐานนี้สามารถอ้างอิงกับมาตรฐานการรับรองไบโอชาร์ในระดับสากล
เนื่องจากประเทศไทยมีเศษชีวมวล เทคโนโลยีการผลิตและความพร้อมของอุตสาหกรรมที่มีลักษณะจำเพาะทำให้ไม่สามารถใช้มาตรฐานสากลมาได้โดยตรง
ทำให้ต้องจัดทำมาตรฐานที่เหมาะสมกับบริบทของประเทศ โดยตั้งเป้าหมายว่าจะสามารถเปิดประชาพิจารณ์ตัวร่างได้ภายในปี 2568
ขณะที่กรมวิชาการเกษตรยังได้ดำเนินโครงการร่วมกับประเทศญี่ปุ่นในเรื่องไบโอชาร์คาร์บอนเครดิต ในส่วนขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก(อบก.) ก็อยู่ระหว่างการศึกษาและจัดทำมาตรฐานไบโอชาร์เช่นกันคาดว่าจะแล้วภายในปีนี้เช่นกัน
“ข้อกังวลถึงความเข้มข้นของมาตรฐานที่จะสร้างภาระให้ผู้ประกอบการนั้น เราก็คำนึงถึงโดยได้รีวิวแล็บทดสอบในประเทศไทย อะไรที่มีอยู่ราคาประมาณไหน
เราไม่ต้องไปถึงมาตรฐานระดับยุโรป แต่ก็พิจารณาในระดับเอเชีย ในประเทศเพื่อนบ้านประกอบเพิ่มเติมให้เหมาะกับบริบทของไทย” ดร.เปรมฤดี กาญจนปิยะ นักวิจัยเอ็มเทค กล่าว
นอกจากนี้ยังมีความท้าทายหลายส่วนทั้งความหลากหลายของวัตถุดิบชีวมวล ว่าจะใช้เฉพาะเศษชีวมวลหรือจะรวมของเหลือจากอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร ซึ่งอยู่ในช่วงของการถกเถียงกัน
อีกประเด็นก็คือเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานในห้องปฏิบัติการที่พารามิเตอร์บางตัว เช่น สารอินทรีย์มลพิษบางรายการ ไทยยังไม่มีวิธีการหรือห้องทดสอบที่เป็นที่ยอมรับเป็นทางการ เป็นต้น
นาโนส่งปุ๋ยคีเลตแก้จุดอ่อน
ในส่วนของการใช้ประโยชน์จากไบโอชาร์ สำหรับประเทศไทยยังมองในเรื่องของภาคการเกษตรเป็นหลัก การใช้ไบโอชาร์จะช่วยให้เกษตรกรสามารถประหยัดน้ำเพื่อการเพาะปลูกลงได้ และเพิ่มความสามารถในการปรับตัวต่อภัยแล้ง
ประโยชน์จากความสามารถในการอุ้มน้ำดังกล่าว ไม่เพียงช่วยแต่มีประโยชน์กับดินทรายเท่านั้น ในผืนดินประเภทอื่นก็ยังสามารถได้ประโยชน์จากคุณสมบัติของไบโอชาร์ด้วยเช่นกัน
ขณะที่เวทีสัมมนามีข้อห่วงใยในเรื่องคุณสมบัติความเป็นด่าง ซึ่งถือเป็นเพนพอยต์ของไบโอชาร์ แม้จะช่วยปรับสมดุล PH ของดินที่เป็นกรด
แต่กรณีดินที่เป็นด่างหรือว่าในแหล่งน้ำเป็นด่างนั้น การนำไบโอชาร์ไปใช้ประโยชน์โดยไม่มีการศึกษามาก่อนอาจเป็นข้อเสีย จึงแนะนำให้เกษตรกรทำการวิเคราะห์ทดสอบความเป็นกรดด่างก่อนที่จะใช้ไบโอชาร์
ทาง สวทช.โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ ทำการวิจัยแก้เพนพอยต์ส่วนนี้โดยใช้เทคโนโลยีนาโนนำสารเสริมอาหารให้พืชหรือสารคีเลตกักเก็บไว้ในรูพรุนของไบโอชาร์
เพื่อปรับค่า PH ให้เป็นกลาง ทั้งยังเพิ่มความชื้นให้ไบโอชาร์ได้ด้วยเมื่อเทียบกับไบโอชาร์ปกติ ทำให้เหมาะสมสำหรับการนำไปใช้เป็นสารปรับปรุงดินประสิทธิภาพสูง
ทางด้านเอ็มเทคยังส่งเสริมการสร้างเตาไพโรไลซิส ซึ่งเป็นคีย์สำคัญสำหรับผลิตไบโอชาร์ที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล มีระบบควบคุมการปล่อยมลพิษที่ผ่านมาตรฐานมลพิษทางอากาศ
การดำเนินการทั้งหมดนี้จะช่วยให้ผู้ผลิตสามารถกำหนดคุณลักษณะของไบโอชาร์ได้อย่างชัดเจน ส่วนผู้บริโภคจะเลือกใช้ไบโอชาร์ที่มีคุณภาพ ปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม.







