ถอดบทเรียนการกำกับดูแล แพลตฟอร์มดิจิทัล แก้ไขความเหลื่อมล้ำ 

ถอดบทเรียนการกำกับดูแล แพลตฟอร์มดิจิทัล แก้ไขความเหลื่อมล้ำ 

ในทศวรรษที่ผ่านมา แพลตฟอร์มดิจิทัลอย่าง Facebook Google Amazon และ Alibaba ได้เปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์เศรษฐกิจและสังคมโลก

แต่ก็ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำทั้งในการเข้าถึงเทคโนโลยี การกระจุกตัวของอำนาจตลาด และความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงข้อมูล รัฐบาลทั่วโลกจึงเริ่มพัฒนากรอบการกำกับดูแลเพื่อส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำดังกล่าว

สหภาพยุโรปได้ริเริ่มกฎหมายตลาดดิจิทัล (DMA) ที่มุ่งเป้าไปที่แพลตฟอร์มขนาดใหญ่ที่เป็น “ผู้ควบคุมประตู” โดยกำหนดพันธกรณีและข้อห้ามเพื่อป้องกันการผูกขาด

เช่น การห้ามปฏิบัติต่อบริการตนเองอย่างเอื้อประโยชน์ การบังคับให้แพลตฟอร์มทำงานร่วมกับบริการอื่น มาตรการเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างสนามแข่งขันที่เท่าเทียมโดยเฉพาะสำหรับธุรกิจขนาดกลางและย่อม

สหรัฐอเมริกาใช้แนวทางการบังคับใช้กฎหมายต่อต้านการผูกขาดที่มีอยู่แล้วแทนการออกกฎระเบียบเชิงป้องกัน ตัวอย่างเช่น กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ฟ้อง Google ในข้อหาผูกขาดตลาดการค้นหา และ FTC ฟ้อง Facebook (Meta) ในข้อหาใช้อำนาจผูกขาดเพื่อกำจัดคู่แข่ง

แนวทางแบบตอบสนองภายหลัง (Ex-post) นี้มุ่งแก้ไขความเสียหายที่เกิดขึ้นแล้ว แต่อาจไม่เพียงพอในการป้องกันความเหลื่อมล้ำตั้งแต่ต้น

จีน มีแนวทางการกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัลที่เข้มงวด โดยในปี 2564 ได้ปรับ Alibaba 2.8 พันล้านดอลลาร์จากพฤติกรรมผูกขาด โดยเฉพาะนโยบาย “เลือกหนึ่งจากสอง” ที่บังคับร้านค้าให้ขายสินค้าบนแพลตฟอร์มเดียว

นอกจากนี้ยังออกกฎระเบียบเข้มงวดสำหรับธุรกิจเทคโนโลยีการเงิน เพื่อป้องกันความเสี่ยงทางการเงินและคุ้มครองผู้บริโภค

เยอรมนี แก้ไขกฎหมายการแข่งขันเพื่อรับมือกับความท้าทายของเศรษฐกิจดิจิทัล โดยให้อำนาจสำนักงานคาร์เทลในการแทรกแซงล่วงหน้าเพื่อป้องกันการปฏิบัติที่ต่อต้านการแข่งขัน เช่น การห้ามการเลือกปฏิบัติต่อผู้ให้บริการบุคคลที่สาม

การปฏิรูปนี้ถือเป็นตัวอย่างของการปรับปรุงกรอบการกำกับดูแลแบบดั้งเดิม ให้สอดคล้องกับความท้าทายใหม่ในเศรษฐกิจดิจิทัล

การกำกับดูแลแพลตฟอร์มในสหราชอาณาจักร เน้นการคุ้มครองผู้ใช้จากอันตรายออนไลน์ผ่าน “ร่างกฎหมายความปลอดภัยออนไลน์” (Online Safety Bill) ที่กำหนดให้แพลตฟอร์มต้องปกป้องผู้ใช้จากเนื้อหาที่เป็นอันตราย โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน

นอกจากนี้ ยังจัดตั้งหน่วยงานตลาดดิจิทัล (Digital Markets Unit) ภายใต้หน่วยงานการแข่งขันและตลาด เพื่อควบคุมแพลตฟอร์มที่มีอำนาจเหนือตลาด

มาตรการเหล่านี้มุ่งสร้างสมดุลระหว่างนวัตกรรมและการปกป้องผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง

ฝรั่งเศส ออกกฎหมายต่อต้านความเกลียดชังออนไลน์ (Avia Law) ที่กำหนดให้แพลตฟอร์มต้องลบเนื้อหาที่ผิดกฎหมายภายใน 24 ชั่วโมง และหน่วยงานคุ้มครองข้อมูลของฝรั่งเศส (CNIL) ได้ปรับ Google 50 ล้านยูโรในปี 2562 จากการละเมิด GDPR

ฝรั่งเศสยังเป็นผู้นำในการผลักดันภาษีบริการดิจิทัล (Digital Services Tax) ที่เรียกเก็บจากรายได้ของแพลตฟอร์มขนาดใหญ่ เพื่อแก้ไขความไม่เป็นธรรมในการจัดเก็บภาษีและกระจายผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ

ญี่ปุ่น ได้แก้ไขกฎหมายต่อต้านการผูกขาดในปี 2563 เพื่อเพิ่มการกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัลขนาดใหญ่ โดยกำหนดให้แพลตฟอร์มต้องเปิดเผยเงื่อนไขสัญญาและนโยบายการจัดอันดับสินค้า เพื่อสร้างความโปร่งใสในการทำธุรกิจ

นอกจากนี้ ยังริเริ่มโครงการเมืองอัจฉริยะเพื่อใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการแก้ปัญหาสังคม เช่น การลดลงของประชากรและความเหลื่อมล้ำในพื้นที่ชนบท

ญี่ปุ่นยังมีนโยบายส่งเสริมความเป็นกลางของอัลกอริทึมและป้องกันการเลือกปฏิบัติจากระบบอัตโนมัติ

สิงคโปร์ ใช้แนวทางการกำกับดูแลที่สมดุลระหว่างการส่งเสริมนวัตกรรมและการคุ้มครองผู้บริโภค ผ่านกฎหมายป้องกันการบิดเบือนข่าวสารออนไลน์ (POFMA)

และการจัดตั้งหน่วยงานพัฒนาสื่อแห่งชาติ (IMDA) ที่ทั้งส่งเสริมอุตสาหกรรมดิจิทัลและกำกับดูแลแพลตฟอร์ม รวมถึงดำเนินโครงการพัฒนาทักษะดิจิทัลสำหรับทุกกลุ่ม โดยเฉพาะผู้สูงอายุและแรงงาน แนวทางบูรณาการนี้ช่วยลดความเหลื่อมล้ำดิจิทัลและสร้างระบบนิเวศดิจิทัลที่ทั่วถึง

เกาหลีใต้ มีการบังคับให้ Google และ Apple อนุญาตให้นักพัฒนาแอปพลิเคชันใช้ระบบชำระเงินทางเลือก ผ่าน “กฎหมายต่อต้านการผูกขาด Google” ซึ่งช่วยลดภาระของผู้พัฒนาแอปรายเล็ก

ทั้งยังมีการบังคับใช้กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลอย่างเข้มงวด และส่งเสริมการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในราคาเหมาะสม ช่วยลดช่องว่างดิจิทัลและส่งเสริมการมีส่วนร่วมในเศรษฐกิจดิจิทัล

บราซิล ใช้กฎหมายอินเทอร์เน็ต (Marco Civil da Internet) ที่กำหนดหลักการความเป็นกลางทางอินเทอร์เน็ต และมีโครงการ “อินเทอร์เน็ตเพื่อทุกคน” ที่ขยายโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลไปยังพื้นที่ห่างไกลและชุมชนรายได้น้อย

อย่างไรก็ตาม ความเหลื่อมล้ำดิจิทัลในบราซิลยังคงมีอยู่โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทและภูมิภาคที่พัฒนาน้อย

นอกจากนี้แล้ว อนาคตของการกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อแก้ไขความเหลื่อมล้ำต้องคำนึงถึงทั้งประเด็นเศรษฐกิจ สังคม และจริยธรรม การส่งเสริมความโปร่งใสของอัลกอริทึม

การทำงานร่วมกันระหว่างแพลตฟอร์ม และการพัฒนาทักษะดิจิทัลสำหรับกลุ่มผู้ด้อยโอกาส ผู้สูงอายุ และประชาชนในพื้นที่ห่างไกล

โดยสรุปแล้ว หากจะนำบทเรียนเหล่านี้ มาพัฒนาแนวทางในการกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับประเทศไทย เพื่อแก้ไขความเหลื่อมล้ำ ต้องเป็นการบูรณาการทั้งมาตรการเชิงป้องกัน (Ex-ante) และมาตรการภายหลัง (Ex-post) รวมถึงการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน 

ประเทศต่างๆ มีแนวทางที่แตกต่างกันตามบริบททางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง แต่มีเป้าหมายร่วมกันคือการสร้างระบบนิเวศดิจิทัลที่เป็นธรรม ปลอดภัย และทั่วถึง เพื่อเกิดการพัฒนากรอบการกำกับดูแลที่เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย.