ยั่งยืนสไตล์ ‘สตีเบลเอลทรอน’ บริหารธุรกิจผูกใจ ‘พนักงาน-ลูกค้า’

ยั่งยืนสไตล์ ‘สตีเบลเอลทรอน’ บริหารธุรกิจผูกใจ ‘พนักงาน-ลูกค้า’

“สตีเบล เอลทรอน” (Stiebel Eltron) แบรนด์เครื่องทำน้ำอุ่น เครื่องกรองน้ำจากเยอรมนี ทำยอดขายในรอบ 10 เดือนแรกของปี 2565 ได้ถึง 1 พันล้านบาท พร้อมทั้งตั้งเป้ายอดขาย 210,000 เครื่องในประเทศไทย เติบโต 12% จากปีที่ผ่านมา

สตีเบลฯ ประกาศวิสัยทัศน์ปี 2566 มุ่งหน้าสู่การเป็น “องค์กรที่เติบโตอย่างยั่งยืน” ผ่านการบริหารจัดการวัฒนธรรมองค์กร การจัดสรรสวัสดิการและการพัฒนาศักยภาพให้แก่พนักงาน รวมถึงระบบการจัดการทรัพยากรบุคคล หลังจากสามารถฝ่าวิกฤติโควิด-19 โดยไม่มีการเลิกจ้างและไม่ลดเงินเดือนแต่อย่างใด

ในฐานะบริษัทครอบครัวที่มีประสบการณ์เกือบ 100 ปี สิ่งที่ทำให้สตีเบลฯ ก้าวขึ้นแถวหน้าในเวทีโลกคือ จุดเด่นของผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค และยังรวมไปถึงการจัดการบริหารองค์กรที่ให้ความสำคัญกับคน

ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 5,000 คนทั่วโลก (โรงงานผลิตในเยอรมนี 4 แห่งและต่างประเทศ 4 แห่ง) ขณะที่ในประเทศไทยมีพนักงานอยู่ประมาณ 600 คน ส่วนใหญ่อายุการทำงานมากกว่า 10 ปี

ยั่งยืนสไตล์ ‘สตีเบลเอลทรอน’ บริหารธุรกิจผูกใจ ‘พนักงาน-ลูกค้า’

พนักงานคือคนในครอบครัว

ยุพา ทัศศรี ผู้จัดการทั่วไปบริษัท สตีเบล เอลทรอน เอเซีย จำกัด กล่าวว่า การจัดสรรสวัสดิการและการพัฒนาศักยภาพให้แก่พนักงาน รวมถึงการจัดการทรัพยากรบุคคล เป็นเรื่องที่สตีเบลให้ความสำคัญเป็นลำดับต้นๆ

แม้ว่าที่ผ่านมาจะผ่านทั้งวิกฤติต้มยำกุ้ง น้ำท่วมและหรือโรคระบาดโควิด-19 บริษัทมีวิธีการดูแลพนักงานด้วยแนวคิด “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” และดูแลอย่างใกล้ชิดเสมือนกับคนในครอบครัว

เช่น การจ่ายเงินค่าเสียหายให้กับพนักงานที่บ้านน้ำท่วม จัดสรรที่พักอาศัยให้กับพนักงานที่ติดเชื้อโควิด หาโรงพยาบาลที่สามารถเข้ารับการรักษา

สตีเบลฯ ให้ความสำคัญกับความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น เชื้อชาติ สีผิว เพศสภาพ และเปิดรับคนพิการเข้ามาทำงาน โดยจัดสรรให้ทำงานตามความสามารถ เพื่อเพิ่มโอกาสในการเลี้ยงชีพให้กับบุคคลกลุ่มนี้

นอกจากนี้ สตีเบลฯ ยังมีโบนัสพิเศษสำหรับความภักดีต่อองค์กร โดยพนักงานที่มีอายุงานมากกว่า 5, 10, 15 ปี จะได้รับโบนัส 5,000 / 10,000 และ 30,000 บาท เสมือนเป็น “น้ำหล่อเลี้ยงจิตใจ” เพื่อให้พนักงานอยากจะตื่นมาทำงานในทุกๆ วัน

“เราเช่าบ้านพักใกล้ๆ กับโรงงานเพื่อรองรับพนักงานที่มีภูมิลำเนาเป็นคนจังหวัดอื่น และต้องการที่จะทำงานใกล้กับบริษัท พนักงานสามารถอยู่ในบ้านพักที่จัดหาไว้ให้ได้โดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ และยังมีรถบริการรับส่งสำหรับคนที่อยู่ไกลออกไป สิ่งเหล่านี้เราทำเพื่อให้เกิดความสะดวกในการมาทำงาน”

ยั่งยืนสไตล์ ‘สตีเบลเอลทรอน’ บริหารธุรกิจผูกใจ ‘พนักงาน-ลูกค้า’

กระชับช่องว่างระหว่างวัย

ขณะที่ปัญหาช่องว่างระหว่างวัยของพนักงาน เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับองค์กรอายุเกือบ 30 ปี พบว่า พนักงานอายุน้อยที่เพิ่งเข้าทำงานจะไม่กล้าพูด ไม่กล้านำเสนอสิ่งใหม่

เพราะคิดว่าตนเองนั้นตัวเล็กสำหรับองค์กร จึงต้องแก้ปัญหาด้วยการเปิดพื้นที่ในรูปแบบกิจกรรมต่างๆ ให้พวกเขาได้แสดงความคิดเห็น และทำให้เห็นว่าบริษัทรับฟังความคิดเห็นของพนักงานทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน มองคุณค่าความเป็นมนุษย์เท่ากัน ไม่ว่าจะมีอายุงานเท่าไร

“เรารับฟังความคิดเห็นของคนทุกกลุ่ม ตั้งแต่นักศึกษาฝึกงานไปจนถึงพนักงานที่อาวุโสที่สุด ครั้งก่อนมีน้องที่จบใหม่มาเล่าให้ฟังว่า พี่ๆ ในบริษัทได้นำไอเดียและความเห็นของเขาไปใช้ในการทำงาน เขารู้สึกดีใจมากที่มีคนรับฟัง และไม่มองข้ามความคิดเห็นของเขา”

สตีเบลฯ บรรจุพนักงานขายเป็นพนักงานประจำขององค์กรทั้งหมด แทนการใช้การจัดจ้างงานจากภายนอก (Outsource) เนื่องจากต้องการให้รู้วัฒนธรรมขององค์กรจริงๆ เป็นคนที่พูดคุยกับลูกค้า เมื่อพนักงานเหล่านั้นนำเสนอผลิตภัณฑ์ ก็จะนำเสนอได้อย่างภาคภูมิใจ เพราะมีความใกล้ชิดและรู้สึกถึงความเป็นครอบครัว

บริษัทยังมีการรีสกิล-อัปสกิลพนักงานด้วยการจัดเวิร์กช็อปและกิจกรรมให้พนักงานได้พบปะกัน แลกเปลี่ยนข้อมูลต่างๆ อยู่เสมอ หรือหากต้องการจะเรียนรู้เพิ่มเติม สตีเบลฯ ก็มีทุนสนับสนุนการพัฒนาทักษะความสามารถของพนักงาน

เดินหน้าสู่องค์กรสีเขียว

โรลันด์ เฮิน กรรมการผู้จัดการบริษัทฯ กล่าวว่า การเข้ามาทำงานกับคนไทยมีความยากง่ายหลายเรื่อง จะต้องปรับตัวเพื่อรับกับการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ และใช้การเรียนรู้จากข้อผิดพลาด ข้อแนะนำจากคนรอบข้าง หรือคนที่ประสบความสำเร็จจากธุรกิจเพื่อมาปรับใช้กับการบริหารงาน

ด้านเทคโนโลยี บริษัทได้นำมาปรับใช้กับการตอกบัตรด้วยการสแกนใบหน้าและสแกนนิ้ว นอกจากนี้ ก็มีแอปพลิเคชันสำหรับงานด้านเอชอาร์แทนการเขียนเอกสารคำร้อง

ในปี 2566 วางกลยุทธ์เพื่อต่อยอดการเป็น “องค์กรที่เติบโตอย่างยั่งยืน” ด้วยผลิตภัณฑ์ด้านพลังงานทดแทน (อาทิ เครื่องระบายอากาศ และฮีทปั๊ม) สำหรับการขยายธุรกิจในระยะยาวและความยั่งยืนทางด้านสิ่งแวดล้อม

บริษัทมีนโยบายลดการใช้ “พลาสติก” ในโรงงาน ด้วยการให้พนักงานใช้กล่องข้าวหรือกระบอกน้ำสำหรับอาหารมื้อต่างๆ แทนกล่องโฟมหรือขวดพลาสติก

อีกทั้งสนับสนุนนโยบายลดการปล่อยคาร์บอน (Net Zero) เพื่อทำให้โรงงานเป็นมิตรแก่สิ่งแวดล้อมมากที่สุด พร้อมกันนี้ยังนำเครื่องกรองน้ำที่มีความผิดพลาดจากกระบวนการผลิตมารีไซเคิลเป็นเม็ดพลาสติกเพื่อขึ้นรูปเป็นผลิตภัณฑ์ชิ้นใหม่ เช่น ถังขยะ เครื่องกรองน้ำขนาดเล็ก ทำให้การใช้พลาสติกเกิดความคุ้มค่ามากที่สุด

เขาย้ำว่า สตีเบลฯ ต้องการพัฒนาองค์กรในทุกส่วนให้เกิดความยั่งยืน โดยด้านบุคลากรจะต้องดูแลและให้ความสำคัญเป็นที่หนึ่ง ส่วนด้านผลิตภัณฑ์ก็จะไม่หยุดพัฒนาด้วยมาตรฐานวิศวกรรมเยอรมัน