ฝ่าวิกฤติฝน 300 ปี! เทคโนโลยีพลิกโฉมกู้ภัยไทยสู้ 'น้ำท่วมใต้'

ฝ่าวิกฤติฝน 300 ปี! เทคโนโลยีพลิกโฉมกู้ภัยไทยสู้ 'น้ำท่วมใต้'

ถอดบทเรียนน้ำท่วมหาดใหญ่ 2568 เมื่อ ‘AI และกองทัพโดรน’ และสารพัดเทคโนโลยีฝ่าวิกฤติฝน 300 ปี พลิกโฉมหน่วยกู้ภัยไทยสู่ยุคดิจิทัล

KEY

POINTS

  • มีการนำเทคโนโลยี AI และ Machine Learning มาใช้พยากรณ์ปริมาณฝนและแจ้งเตือนภัยล่วงหน้า ทำให้บริหารจัดการน้ำและเตรียมการรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • เกิดแพลตฟอร์มภาคพลเมือง 'Kaitod Hatyai' ที่ให้ผู้ประสบภัยแจ้งพิกัดและขอความช่วยเหลือแบบ Real-time ช่วยให้หน่วยกู้ภัยจัดลำดับความสำคัญและเข้าช่วยเหลือได้ตรงจุด
  • มีการใช้ฝูงโดรนเทคโนโลยีสูงในภารกิจกู้ภัย ทั้งโดรนส่องสว่างช่วยปฏิบัติการตอนกลางคืน โดรนตรวจจับความร้อนค้นหาผู้รอดชีวิต และโดรนลำเลียงส่งของยังชีพในพื้นที่เข้าถึงยาก

ตัวเลขปริมาณน้ำฝนสะสมที่พุ่งสูงแตะระดับ 300-500 มิลลิเมตรในเวลาเพียง 24 ชั่วโมง ถูกนิยามโดยกรมชลประทานว่าเป็น "ฝนรอบ 300 ปี" มวลน้ำมหาศาลจากเทือกเขาที่ไหลบ่าลงสู่พื้นที่แอ่งกระทะใจกลางเมืองเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว ได้เปลี่ยนถนนสายหลักของเมืองหาดใหญ่ให้กลายเป็นแม่น้ำที่เชี่ยวกราก ตัดขาดการสัญจรและขังผู้คนไว้ในบ้านเรือน

แต่ท่ามกลางความมืดมิดและกระแสน้ำที่วิปโยค วิกฤตการณ์ครั้งนี้กลับฉายภาพการต่อสู้ที่ต่างออกไปจากอดีต ภาพของการใช้ข้อมูลและนวัตกรรมเข้ามาเป็นอาวุธหลัก นี่คือสมรภูมิที่เทคโนโลยีไม่ได้เป็นเพียงของเล่นราคาแพง แต่กลายเป็นเส้นด้ายบางๆ ที่ยึดโยงชีวิตของผู้ประสบภัยนับแสนคนเอาไว้ และเปลี่ยนนิยามการกู้ภัยของไทยไปตลอดกาล

Machine Learning อ่านเกมฟ้าฝน ล่วงรู้ก่อนภัยมา

ก่อนที่มวลน้ำจะเข้าปะทะเมือง ความหวังแรกเริ่มทำงานอย่างเงียบเชียบในห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ ศูนย์วิจัยภัยพิบัติทางธรรมชาติภาคใต้ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) ได้นำระบบ AI เข้ามาพลิกโฉมการพยากรณ์อากาศ โดยใช้เทคนิค Machine Learning ประมวลผลข้อมูลทางอุตุนิยมวิทยาที่ซับซ้อนเกินกว่ามนุษย์จะคำนวณได้ทันท่วงที ระบบอัจฉริยะนี้ทำหน้าที่วิเคราะห์แพทเทิร์นของกลุ่มฝนในอดีต ผสานกับข้อมูล Real-time จากสถานีตรวจวัดน้ำฝน ทำให้การแจ้งเตือนภัยมีความแม่นยำในระดับที่ระบุพิกัดความเสี่ยงและระดับความลึกของน้ำได้ล่วงหน้า ข้อมูลชุดนี้กลายเป็นกุญแจสำคัญที่ถูกส่งต่อไปยัง Smart Water Operation Center (SWOC) เพื่อบริหารจัดการประตูระบายน้ำแข่งกับเวลาน้ำทะเลหนุน ช่วยซื้อเวลาให้ชาวบ้านเตรียมตัวรับมือได้ทันท่วงที

ฝ่าวิกฤติฝน 300 ปี! เทคโนโลยีพลิกโฉมกู้ภัยไทยสู้ 'น้ำท่วมใต้'

'Kaitod Hatyai' พลังของคนรุ่นใหม่ที่กินใจกว่าไก่ทอด

เมื่อน้ำเข้าท่วมพื้นที่จริง ความโกลาหลย่อมตามมา แต่ในปี 2568 นี้ เราได้เห็นพลังของ Civic Tech หรือเทคโนโลยีภาคพลเมืองที่น่าจับตามองที่สุด นั่นคือการเกิดขึ้นของแพลตฟอร์ม Kaitod Hatyai (ไก่ทอดหาดใหญ่) ที่พัฒนาโดยกลุ่มนิสิตจุฬาฯ ลูกหลานชาวหาดใหญ่ พวกเขาเขียนโค้ดขึ้นมาอย่างเร่งด่วนเพื่อแก้ปัญหาคอขวดของการสื่อสาร แทนที่จะรอสายโทรศัพท์ที่ว่าง ผู้ประสบภัยปักหมุดพิกัด GPS ระบุจำนวนคนป่วย หรือระดับน้ำที่ท่วมขังได้ทันที ข้อมูลเหล่านี้จะถูกแสดงผลแบบ Real-time บน Dashboard เชื่อมโยงกับหน่วยงานกู้ภัย ทำให้เจ้าหน้าที่จัดลำดับความสำคัญ (Triage) ว่าจุดไหนวิกฤติที่สุด เปลี่ยนเสียงร้องขอความช่วยเหลือที่กระจัดกระจาย ให้กลายเป็นฐานข้อมูลที่มีระบบระเบียบ เข้าใช้ได้ที่นี่ https://kaitodhatyaii.vercel.app/

ฝ่าวิกฤติฝน 300 ปี! เทคโนโลยีพลิกโฉมกู้ภัยไทยสู้ 'น้ำท่วมใต้'

น่านฟ้าฝ่าวิกฤต

จุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดของเหตุการณ์ครั้งนี้ คือการยกระดับปฏิบัติการทางอากาศที่เหนือชั้นกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เมื่อสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) จับมือกับสมาคมกีฬาเครื่องบินจำลองและวิทยุบังคับ (RCSA) เปิดปฏิบัติการ "ศูนย์โดรนบรรเทาภัยพิบัติ" โดยมีการปลดล็อกกฎเหล็กครั้งประวัติศาสตร์ เมื่อสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) ออกประกาศด่วนอนุญาตให้โดรนกู้ภัยบินหลัง 18.00 น. ได้เป็นกรณีพิเศษ ทำให้ข้อจำกัดเรื่องเวลาถูกทำลายลง เจ้าหน้าที่ส่ง "โดรนส่องสว่าง" (Lighting Drones) ขึ้นบินสาดแสงสปอร์ตไลท์ LED ความเข้มสูง นำทางให้เรือท้องแบนและเจ็ทสกีฝ่าความมืดเข้าไปช่วยเหลือผู้คนในซอยลึกได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ไม่เพียงแค่แสงสว่าง แต่น่านฟ้าเหนือหาดใหญ่ยังเต็มไปด้วยเขี้ยวเล็บทางเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย โดรนเรือธงรุ่นใหม่อย่าง DJI M350 RTK และ DJI M4T ที่ติดตั้งกล้องตรวจจับความร้อนความละเอียดสูง ได้รับภารกิจในการบินสแกนหาสัญญาณชีพผู้ประสบภัยที่ติดค้างในบ้านที่ไฟตัดดับสนิท หน้าจอควบคุมจะแสดงจุดความร้อน (Heat Signature) ตัดกับความเย็นของผิวน้ำ ทำให้กู้ภัยระบุพิกัด GPS ของผู้รอดชีวิตได้อย่างแม่นยำแม้ไร้แสงไฟ นอกจากนี้ ยังมีการใช้ โดรนลำเลียง (Heavy Lift Transport Drones) ที่ถูกดัดแปลงให้รับน้ำหนักได้สูง ทำหน้าที่เป็น Air Cargo บินข้ามกระแสน้ำเชี่ยวเพื่อหย่อนถุงยังชีพและยารักษาโรคลงบนดาดฟ้าตึกแถว หรือจุดที่เรือยางฝ่าเข้าไปไม่ได้ ลดความเสี่ยงของเจ้าหน้าที่กู้ภัยทางน้ำได้อย่างมหาศาล

การทำงานครั้งนี้ยังถือเป็นต้นแบบของ Smart Air Traffic Management เมื่อทีมโดรนต้องทำงานประสานกับหอควบคุมการบิน เพื่อหลีกทางให้เครื่องบิน C-130 ของกองทัพอากาศ และเฮลิคอปเตอร์กู้ภัยที่ลำเลียงเวชภัณฑ์เข้ามาในพื้นที่ สะท้อนให้เห็นการบูรณาการที่ไร้รอยต่อระหว่างเทคโนโลยีภาคพื้นดินและอากาศยาน

ฝ่าวิกฤติฝน 300 ปี! เทคโนโลยีพลิกโฉมกู้ภัยไทยสู้ 'น้ำท่วมใต้'

สถานการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่ปี 2568 กำลังให้บทเรียนราคาแพงว่า ภัยพิบัติจากธรรมชาติจะรุนแรงและคาดเดายากขึ้นเรื่อยๆ แต่ในขณะเดียวกัน มันก็ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า เทคโนโลยีไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป มิหนำซ้ำการผนึกกำลังกันระหว่างข้อมูล Big Data, ปัญญาประดิษฐ์ AI, แพลตฟอร์มภาคประชาชน และนวัตกรรมโดรนขั้นสูง ได้สร้างระบบนิเวศการกู้ภัยรูปแบบใหม่ที่มีประสิทธิภาพ สูญเสียน้อยลง และช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ได้มากขึ้น ความสำเร็จครั้งนี้จึงเป็นหมุดหมายสำคัญที่บอกว่า ไทยเรากำลังก้าวเข้าสู่ยุค Smart Disaster Management อย่างเต็มตัว และเทคโนโลยีคือฮีโร่ที่จับต้องได้ในยามวิกฤติ