ปรากฏการณ์ Mamdani ถึงพรรคการเมืองไทย

คงยังไม่สายที่จะพูดถึง Zohran Mamdani หนุ่มวัย 34 ปีที่ทะยานขึ้นมาเป็นนายกเทศมนตรีของมหานครนิวยอร์กแบบหักปากกาเซียน โดยเอาชนะคู่แข่งวัยเก๋าที่เป็นถึงอดีตผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก
จากที่ก่อนหน้านี้เขาเป็นเพียงนักการเมืองเล็กๆ ที่มีบทบาทจำกัดในฐานะตัวแทนของเขตควีนส์ในสภานิติบัญญัติของรัฐนิวยอร์กตั้งแต่ราว 4 ปีก่อน ไม่ได้เป็นที่รู้จักของชาวมหานครนิวยอร์กในวงกว้าง
จนกระทั่งเริ่มการรณรงค์หาเสียงเพื่อชิงตำแหน่งนายกเทศมนตรี ซึ่งในระยะแรกโพลที่ออกมาเขาได้คะแนนต่ำเพียงเลขตัวเดียวด้วยซ้ำ อะไรที่ทำให้ Mamdani เรียกคะแนนจากชาวนิวยอร์กได้ขนาดนี้ นักการเมืองไทยและพรรคการเมืองไทยจะเรียนรู้อะไรจากเขาได้บ้าง สำหรับการเตรียมตัวเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
อย่างแรกที่เป็นสาเหตุสำคัญทำให้ Mamdani ได้คะแนนนำและสร้างความโดดเด่นให้ตัวเอง คือการแตะเข้าไปที่จุดเจ็บปวด (pain points) ของชาวนิวยอร์ก โดยเฉพาะเรื่องค่าเช่าที่พักที่ไม่ใช่แค่คนจนแม้แต่คนชั้นกลางก็นับเป็นภาระหนักอึ้ง
การประกาศว่าจะแช่แข็งค่าเช่าอะพาร์ตเมนต์ ทำให้คะแนนเสียงจากเขตที่มากไปด้วยคนเช่าอะพาร์ตเมนต์ประเภทที่ถูกคุมค่าเช่าที่เรียกว่า rent-stabilized housing เทไปให้เขาเต็มๆ
ในเมืองขนาดใหญ่อย่างเช่น นิวยอร์ก แอลเอ วอชิงตัน ดี.ซี. ซึ่งมีความต้องการที่พักอาศัยสูงมาก จะมีอะพาร์ตเมนต์ประเภทที่จัดอยู่ในข่าย rent-stabilized housing ที่กฎหมายให้อำนาจสภาเมืองควบคุมการปรับอัตราค่าเช่าให้สอดคล้องกับดัชนีค่าครองชีพ
เพื่อไม่ให้แลนลอร์ดขึ้นค่าเช่าตามอำเภอใจจนคนรายได้น้อยเดือดร้อน ในนิวยอร์กข้อบังคับนี้ครอบคลุมอะพาร์ตเมนต์ราว 1,000,000 หน่วย)
เขายังประกาศว่าจะใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ทุ่มให้กับการสร้างที่อยู่อาศัยภายใต้การควบคุมค่าเช่าอีกราว 200,000 หน่วยตลอด 10 ปีข้างหน้า นโยบายนี้จึงได้ใจคนทั้งในระยะสั้นคือ ไม่มีการขึ้นค่าเช่า และระยะยาวคือ จะมีจำนวนที่พักเพิ่มขึ้น ค่าเช่าก็อาจจะลดลงในอนาคต
นอกจากนั้นการประกาศจะลดค่าครองชีพ เช่น ค่าอาหาร ด้วยการจัดตั้งร้านค้าของรัฐ กระจายไปทั่วเมืองเพื่อขายของถูก (น่าจะประมาณร้านธงฟ้าของบ้านเรา) สถานดูแลเด็กเล็กฟรี ขึ้นรถเมล์ฟรี ก็เป็นเรื่องที่โดนใจคนทำงานทั้งหลาย โดยเขาจะขึ้นภาษีคนรวยและบริษัททั้งหลายเพื่อจะเอาเงินมาทำเรื่องเหล่านี้ Mamdani เจาะถึงจุดเจ็บปวดของชาวบ้านและมีเครื่องมือที่ชัดเจน จึงเรียกความน่าเชื่อถือได้จนกำชัยชนะ
เมื่อเห็นอย่างนี้แล้ว พรรคการเมืองไทยที่กำลังขะมักเขม้นกับการกำหนดกลยุทธ์การหาเสียงจึงควรศึกษาว่าอะไรคือ ความเจ็บปวดที่บาดลึกในใจของประชาชน แล้วพยายามทำนโยบายที่จะแก้ไขเรื่องเหล่านี้ให้เกิดความชัดเจนพร้อมทั้งบอกวิธีการด้วย ซึ่งที่จริงเรื่องที่เป็นความเจ็บปวดขมขื่นของประชาชนขณะนี้ก็มีอยู่ไม่กี่เรื่อง
หากพรรคใดประกาศว่า “คอร์รัปชันต้องเป็นศูนย์” หรือ “ปฏิรูปตำรวจ-ทหาร” “ยกเครื่องข้าราชการ” “ล้างบางนักการเมืองสีเทา” “ไม่มีสแกมเมอร์” “ไม่มีรัฐมนตรีมือไม่ถึง” หรือ “ไม่ให้สส.เป็นรัฐมนตรี” ฯลฯ เหล่านี้น่าจะทำให้ได้คะแนน เพราะมันคือ ความเจ็บปวดรวดร้าวที่คนไทยทนมานาน
อีกปัจจัยที่ทำให้ Mamdani ประสบชัยชนะคือ การประกาศยืนคนละข้างกับประธานาธิบดีทรัมป์แบบไม่เกรงใจ กลายเป็นจุดยืนว่า “ใครไม่เอาทรัมป์ ใครต้องการหยุดทรัมป์ เลือก Mamdani” เพราะขณะนี้คะแนนนิยมทรัมป์สำหรับคนในเมืองตกต่ำลงมากจากค่าครองชีพที่สูงขึ้นเพราะการเก็บภาษีนำเข้า รวมทั้งการชัตดาวน์ที่กินเวลากว่า 40 วัน
ความไม่พอใจของชาวบ้าน ทำให้ข้อกล่าวหาของทรัมป์ที่ว่า Mamdani เป็นคอมมิวนิสต์และไม่ควรที่ชาวนิวยอร์กจะลงคะแนนให้ แทนที่จะทำให้ Mamdani เสียคะแนน กลับเป็นกระแสตีกลับที่สร้างคะแนนให้ Mamdani อย่างสบายๆ เข้าทำนอง “ศัตรูของศัตรูคือเพื่อนเรา”
พรรคการเมืองไทยก็คงต้องคิดเหมือนกันว่า หากอยากจะได้คะแนนแบบนี้ก็ลองคิดดูว่าประชาชนถือว่าใครเป็นศัตรูบ้าง การประกาศเป็นศัตรูกับศัตรูของประชาชนย่อมจะได้อานิสงส์ไม่มากก็น้อย เป็นต้นว่า “ไม่เอาบ้านใหญ่” หรือ “ไม่เอาคนขายชาติ” เหมือนอย่างที่บางพรรคเคยประกาศไม่เอาลุง จนได้คะแนนจากคนรุ่นใหม่ถล่มทะลาย
ความสำเร็จสุดท้ายแต่สำคัญมาก คือ การใช้โซเชียลมีเดียของ Mamdani ที่ทำได้ดีมากในทุกแพลตฟอร์ม จนทำให้สามารถเข้าถึงผู้คนทุกหย่อมหญ้าโดยเฉพาะคนระดับล่างและคนรุ่นใหม่
บุคลิกของเขาเองที่ชัดเจน จริงจัง ตรงไปตรงมา มั่นใจเวลาอยู่หน้ากล้องและสื่อ (ต้องไม่ลืมว่าเขาเป็นนักร้องฮิปฮอปมาก่อน) ส่งให้เขาเข้ามาอยู่ในใจประชาชนได้อย่างรวดเร็ว
พรรคการเมืองไทยจึงควรจะต้องมีทีมงานที่ผลิตคอนเทนต์และใช้สื่อโซเชียลให้เป็นประโยชน์มากๆ ในการเลือกตั้งที่จะมาถึง เพราะรวดเร็ว ประหยัด และสร้างกระแสได้ดีกว่าการติดป้ายแบบโบราณที่ทั้งสิ้นเปลืองแถมยังทำบ้านเมืองรกรุกรังที่สมควรจะเลิกไปได้แล้ว
มหานครนิวยอร์กกับปรากฏการณ์ Mamdani หักปากกาเซียนและสารพัดโพลให้ดูแล้ว การเมืองไทยจะพลิกแบบนิวยอร์กก็น่าจะได้ เพราะโลกเปลี่ยนไปแล้ว เราไม่ควรทนกับการเมืองที่ย่ำอยู่กับที่ ซื้อเสียงเพื่อเข้ามาโกงแล้วก็กลับไปซื้อเสียงใหม่ หรือเอาคนที่มีความสามารถแค่งูๆปลาๆ หรือไม่สะอาดเข้ามาเป็นรัฐมนตรีเพียงเพราะลากคนเข้ามาเป็น สส.ได้มาก
หรือเลือกที่ความเป็น “บ้านใหญ่” แทนที่จะดูนโยบายที่เป็นประโยชน์และเป็นไปได้ เลือกตั้ง 2569 จะสร้างปรากฏการณ์ใหม่ได้ไหมต้องติดตามดูด้วยใจระทึก







