กฎหมายกับเทคโนโลยีการรักษาความมั่นคงทางทะเลในยุค 4.0

กฎหมายกับเทคโนโลยีการรักษาความมั่นคงทางทะเลในยุค 4.0

จากความได้เปรียบในด้านภูมิศาสตร์ของประเทศไทยที่มีพื้นที่ทางทะเลทั้งทางฝั่งทะเลอันดามันและอ่าวไทย ส่งผลให้ในด้านของการสร้างรายได้ทางเศรษฐกิจจากกิจกรรมทางทะเล

ไม่ว่าจะเป็น การขนส่งทางทะเล การทำประมง การท่องเที่ยวทางน้ำหรือการแสวงหาทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

ดังนั้น เพื่อส่งเสริมการสร้างเม็ดเงินทางเศรษฐกิจจากกิจกรรมดังกล่าวภายใต้แนวคิดใหม่ของ "มหาสมุทรดิจิทัล" อย่างมั่นคงปลอดภัย การปรับใช้กฎหมายและแนวนโยบายที่เกี่ยวข้องจำเป็นจะต้องเข้ามามีบทบาท เพื่อเสริมช่องทางการรักษาเสถียรภาพของการดำเนินกิจกรรมทางทะเลประเภทต่าง ๆ

อย่างไรก็ตาม เมื่อวิเคราะห์สภาวะแวดล้อมความมั่นคงทางทะเลในปัจจุบันและผลกระทบจากความต้องการในการใช้ประโยชน์จากทะเลที่มีมากขึ้นร่วมกับแผนพัฒนาความมั่นคงแห่งชาติทางทะเลพบว่า ในอนาคตประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะมีปัญหาความมั่นคงทางทะเล

ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อระบบข้อมูลดิจิทัลและเทคโนโลยีที่สนับสนุนกิจกรรมทางทะเลในยุค 4.0 ไม่เพียงแต่กิจการทางทะเลของภาคเอกชนเท่านั้น หากแต่รวมถึงกิจการความมั่นคงปลอดภัยทางทะเล (Maritime Security) ที่ได้รับการดูแลจากหน่วยงานภาครัฐ กล่าวคือ กองทัพเรือและศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลอีกด้วยเป็นต้น

จากสถานการณ์ความขัดแย้งทั้งในภูมิภาค นอกภูมิภาค และการกระทําความผิดทางทะเลในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งมิได้จำกัดอยู่แต่เพียงการจู่โจม การรุกล้ำและการก้าวล่วงผลประโยชน์แห่งชาติทางทะเลในทางกายภาพผ่านเหตุการณ์ความรุนแรงประเภทต่าง ๆ เท่านั้น หากแต่รูปแบบการสั่นคลอนความมั่นคงทางทะเลยังเกิดขึ้นในรูปแบบของ Maritime Cyber attacks หรือการก่ออาชญากรรมดิจิทัลทางทะเล

ในบทความฉบับนี้จะมุ่งเน้นถึงแนวความคิดที่หน่วยงานภาครัฐ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางทะเล (Maritime Safety) ได้พัฒนาระบบโครงข่ายดิจิทัลเพื่อปรับใช้ในอนาคตอันใกล้ อันจะเอื้อประโยชน์ในการคุ้มครองความมั่นคงทางทะเลให้กับคนในชาติ เนื่องจากกิจกรรมทางทะเลเป็นกิจกรรมที่มีการดำเนินงานไปตลอดปีนั่นเอง 

ประเด็นที่ชวนคิดพิจารณาคือ ระบบเศรษฐกิจและความมั่นคงทางทะเลซึ่งขับเคลื่อนผ่านโครงข่ายดิจิทัลและเทคโลโลยีรูปแบบใหม่จะสนับสนุนระบบความมั่นคงปลอดภัยในการเดินเรือ ระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับการเดินทะเลของเรือพาณิชย์อย่างไร มีแนวนโยบายและหลักกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็น กฎหมายที่บังคับใช้ภายในรัฐ กฎหมายระหว่างประเทศและบทบัญญัติภายในภูมิภาคอย่างไรบ้าง

ปัจจุบันเทคโนโลยีที่น่าสนใจและควรจับตามอง ในการนำมาปรับใช้เพื่อสนับสนุนความมั่นคงทางทะเลต่อไปในอนาคต อาทิเช่น การรักษาความมั่นคงและป้องกันประเทศโดยใช้เครือข่ายเป็นศูนย์กลาง (The Network Centric Warfare) คือเทคโนโลยีที่อาศัยการเชื่อมโยงเครือข่ายระหว่างระบบตรวจการณ์ ผู้ตัดสินใจ และหน่วยปฏิบัติการ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดความได้เปรียบทางยุทธวิธีที่เอื้อประโยชน์ 

ประการแรกต่อปัญหาความขัดแย้งเรื่องเขตแดนทางทะเลของประเทศในภูมิภาค ซึ่งประเทศไทยเองรวมถึงเพื่อนบ้านในภูมิภาคมีความต้องการการใช้งานเทคโนโลยีชนิดนี้ ประการที่สองเทคโนโลยีชนิดนี้ยังเอื้อประโยชน์ในการป้องกันและจัดการสถานการณ์ในทะเล (Maritime Incidents) ประเภทอาชญากรรมทางทะเล การกระทำอันเป็นโจรสลัด การปล้นริมชายฝั่ง การก่อการร้ายทางทะเลอีกด้วย

 

ในเรื่องนี้ถือเป็นการนำหลักการสนับสนุนการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางความมั่นคงในทุกระดับมาใช้ ตั้งแต่ยุทธวิธี ยุทธการ ไปจนถึงยุทธศาสตร์ มาเชื่อมโยงส่วนประกอบสำคัญของการรักษาความมั่งคงของประเทศ ได้แก่ ระบบตรวจการณ์ (Sensors), หน่วยบังคับบัญชา (Command & Control)

และหน่วยปฏิบัติการ (Effector) เมื่อพิจารณาบทบัญญัติและระเบียบปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีดังกล่าวประกอบ คือเรื่องการเข้าถึงและความปลอดภัยของข้อมูลดิจิทัล (Data Security) 

เทคโนโลยีชิ้นต่อมาคือการใช้เทคโนโลยียานและวัตถุเคลื่อนที่ไร้คนขับ (Autonomous: Unmanned Maritime Vehicle- UMV) โดยอาจจำแนกเป็นประเภทตามรูปแบบและวัตถุประสงค์ในการปฏิบัติงาน บนผิวน้ำ (Unmanned Surface Vehicle) หรือใต้ผิวน้ำ (Unmanned Underwater Vehicle) ซึ่งเป็นการใช้เทคโนโลยีรูปแบบใหม่ ๆ เพื่อการสำรวจและการป้องกันความมั่นคงทางทะเลของประเทศ 

อาจนำมาซึ่งความเสี่ยงในการบังคับใช้กฎหมายทะเล (UNCLOS: United Nation Convention of the Law of the Sea) ในเรื่องอาณาเขตทางทะเลในปัญหาและข้อพิพาทการรุกล้ำเขตแดนทางทะเลระหว่างรัฐ อันเกิดจากการกำหนดเส้นทางการสำรวจและเฝ้าระวังสถานการณ์ทางทะเล นอกจากนี้ควรพิจารณาไปถึงเรื่องสัญชาติของวัตถุเคลื่อนที่ดังกล่าวอีกด้วยอย่างหลักการเลือกสัญชาติเรือ (Flag of Convenience)

เทคโนโลยีสุดท้ายอันเกี่ยวข้องกับความมั่นคงทางทะเลคือ Critical Underwater Infrastructure (CUI) หากถูกรบกวนจากระบบ Maritime Cyber Attacks หรือ Maritime Cyber Threats จะเป็นภัยคุกคามต่อระบบโครงข่ายสารสนเทศซึ่งพึ่งพิงการสื่อสารโดยโครงข่ายเคเบิ้ลใต้ทะเล

ก็นับว่าเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ยังคงส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของชาติในอาเซียน เนื่องจากสายเคเบิ้ลของหลายองค์กรในประเทศที่พาดผ่านท้องทะเลไทยก็ถูกคุกคามได้เช่นเดียวกัน

เทคโนโลยีทั้งสามประการข้างต้นชวนให้พิจารณาถึงความไม่มั่นคงปลอดภัยของกิจกรรมทางทะเล อันอาจเกิดขึ้นได้จากการกระทำอันขัดต่อหลักกฎหมายสากลและหลักเกณฑ์จาก International Maritime Organization: IMO ในเรื่องความปลอดภัยในท้องทะเล รวมถึงบทบัญญัติในด้านความปลอดภัยทางทะเลจาก SUA Convention: Convention for the Suppression of Unlawful Acts against the Safety of Maritime Navigation

อีกทั้งยังมีองค์กรและสถาบันที่ให้ความสำคัญต่อเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลทางทะเล ที่สัมพันธ์ต่อความมั่นคงทางทะเลสมัยใหม่อย่าง NATO ซึ่งกล่าวถึงการจะประคับประคองให้กิจกรรมทางทะเลในเรื่องเสถียรภาพความมั่นคงได้นั้น จำต้องคำนึงถึงเหตุปัจจัยที่ได้ยกตัวอย่างไว้ข้างต้น อีกทั้งการพิจารณาหลักกฎหมายและแนวนโยบายที่เกี่ยวข้อง

ไม่ว่าเป็นกฎหมายที่มีบังคับใช้ในเรื่องดังกล่าวอยู่แล้ว หลักเกณฑ์ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติแบบไม่มีผลบังคับใช้ หรือบางประเด็นที่ยังไม่มีกฎหมายออกมากำกับดูแล เป็นสิ่งที่ต้องวิเคราะห์และปรับปรุงให้ทันสมัยอยู่เสมอ เพื่อให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีในการป้องกันประเทศและความปลอดภัยทางทะเลที่จะพัฒนาไปในอนาคตอันใกล้