สื่อและความรับผิดชอบต่อสังคม ในยุคที่ข้อมูลเสี้ยวหนึ่งสะเทือนทั้งสังคม

สื่อและความรับผิดชอบต่อสังคม ในยุคที่ข้อมูลเสี้ยวหนึ่งสะเทือนทั้งสังคม

ในโลกที่ทุกคนสามารถถือโทรศัพท์ขึ้นมาถ่าย พูดและเผยแพร่เนื้อหาได้ภายในไม่กี่วินาที ความเร็วกลายเป็นจุดขายสำคัญของสื่อยุคดิจิทัล แต่ในอีกด้านหนึ่ง ความเร็วกลับเป็นแรงกดดันที่ทำให้ “ความจริง” กลายเป็นทรัพยากรที่ถูกบิดเบือนง่ายกว่าที่เคย

การรักษาสมดุลระหว่างการรายงานทันทีกับการตรวจสอบข้อมูลอย่างรอบด้าน จึงเป็นความท้าทายที่หนักหน่วงที่สุดของสื่อในศตวรรษนี้

การรักษาความน่าเชื่อถือของสื่อไม่ใช่เพียงเรื่องของเทคนิคการทำข่าว แต่คือ “หัวใจของความเป็นสื่อ” ที่ต้องยืนอยู่บนหลักความถูกต้อง ความโปร่งใส เคารพสิทธิ์ ประสานสังคม และความเป็นกลาง กระบวนการทำงานของสื่อจึงไม่ใช่แค่การรายงานสิ่งที่เกิดขึ้น

แต่คือการ “คัดเลือกสิ่งที่สังคมควรรู้” และการ “เปิดพื้นที่ให้ประชาชนเข้าใจโลกด้วยข้อมูลที่ตรวจสอบได้” ซึ่งสิ่งเหล่านี้ตั้งอยู่บนฐานของการใช้ ข้อเท็จจริง (Fact) ความคิดเห็น (Opinion) และการวิเคราะห์ (Analysis) อย่างเหมาะสมและโปร่งใส

เหตุการณ์ล่าสุดที่บีบีซี (BBC) ต้องสูญเสียผู้อำนวยการใหญ่ ทิม เดวี และประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายข่าว เดโบราห์ เทิร์นเนสส์ จากปมการ “ตัดต่อสุนทรพจน์โดนัลด์ ทรัมป์” ในสารคดีพาโนรามาเรื่อง Trump: A Second Chance? กำลังเตือนเราเสียงดังว่า สื่อต้องระวังเรื่องจุดยืน การประกอบสร้าง และการกำหนดวาระข่าวสารที่อาจทำให้ความหมายผิดจากข้อเท็จจริง

สารคดีความยาวหนึ่งชั่วโมงดังกล่าวถูกเปิดโปงว่า ตัดต่อสองช่วงของสุนทรพจน์วันที่ 6 มกราคม 2021 มาต่อกันจนทำให้ประธานาธิบดีทรัมป์ดูราวกับกำลังยุยงให้ผู้สนับสนุน “ต่อสู้สุดชีวิต” บุกอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ ทั้งที่คำว่า fight like hell ในต้นฉบับถูกกล่าวในอีกบริบทหนึ่งเกี่ยวกับการต่อสู้ทางการเมืองและข้อกล่าวหาเรื่องการเลือกตั้งทุจริต

ช่องว่างเวลากว่า 50 นาทีระหว่างประโยคที่ถูกนำมาต่อกันนั้น ไม่ใช่แค่ข้อผิดพลาดทางเทคนิค แต่ทำให้การตีความและเข้าใจเหตุการณ์เปลี่ยนไป

การตัดต่อคลิปเป็นทักษะสำคัญในการประกอบเรื่องราวในข่าวเพื่อนำเสนอให้คนเข้าใจเหตุการณ์ แต่กรณีนี้เปิดคำถามสำคัญต่อหัวใจของงานสื่อ นั่นคือเส้นแบ่งระหว่าง Fact - Opinion - Analysis อยู่ตรงไหนกันแน่ สื่อมีสิทธิ์จะเรียบเรียง สังเคราะห์ และตีความเหตุการณ์

แต่เมื่อใดก็ตามที่การเล่าเรื่องทำให้ข้อเท็จจริงพื้นฐานถูกบิดเบือน หรือถูกสื่อไปอีกความหมายหนึ่ง นั่นไม่ใช่การวิเคราะห์ หากคือการจัดฉากความจริงขึ้นใหม่หรือไม่? และนั่นเดิมพันด้วยความน่าเชื่อถือขององค์กรสื่อและการรับรู้ข่าวสารของประชาชน

หากมองผ่านเลนส์ “กระบวนการทำข่าว-หลักปฏิบัติ” ที่หลายคณะนิเทศศาสตร์ใช้สอนนักศึกษา เราจะเห็นแกนกลางของโมเดลคือ “จริยธรรมสื่อ” ที่เชื่อมระหว่างการหาและคัดเลือกข้อมูล การรักษาความถูกต้อง (accuracy) และการเผยแพร่ต่อสาธารณะอย่างโปร่งใส 

กรณีบีบีซีชี้ว่าปัญหาไม่ได้เกิดในขั้นตอนเดียว หากเริ่มตั้งแต่การตัดสินใจเชิงบรรณาธิการว่าจะเล่าเรื่องทรัมป์ในกรอบไหน เลือกประโยคใดมาเป็นตัวแทนของทั้งสุนทรพจน์ และจะจัดวางเสียงของเขาให้กลายเป็น “ตัวร้ายทางการเมือง” มากน้อยเพียงใด

เมื่อการเล่าเรื่องตั้งต้นด้วยกรอบที่ขยับเข้าใกล้ความเป็น advocacy มากกว่าการรายงานอย่างเป็นธรรม เส้นแบ่งระหว่างข่าวกับการรณรงค์และขับเคลื่อนประเด็น (ซึ่งไม่ใช่หน้าที่ของคนข่าว) ก็พร่าเลือนลงเรื่อยๆ

กรณีสำนักข่าวเบอร์นามาของมาเลเซียที่แปลคำแถลงรัฐมนตรีต่างประเทศผิดเพียงประโยคว่า “ทุ่นระเบิดไม่ใช่ทุ่นใหม่” ทั้งที่ต้นฉบับระบุชัดว่า “เป็นทุ่นระเบิดใหม่” ก็สะท้อนความเปราะบางของ Fact เช่นกัน

แต่สิ่งที่น่าสังเกตคือ เบอร์นามารีบออกคำชี้แจงยอมรับว่ามีข้อผิดพลาดในการแปลและแก้ไขเนื้อข่าว การรับผิดเช่นนี้ไม่ลบล้างความผิดพลาดแต่ช่วยชะลอการสึกกร่อนของความไว้วางใจได้

เมื่อเราหันกลับมามองบ้านตัวเอง กรณีรายการออนไลน์ที่พูดถึง “นมวัว” จนเกิดกระแสวิจารณ์ เป็นตัวอย่างสดๆ ของการที่ Opinion ถูกนำเสนอในรูปแบบที่ผู้ชมจำนวนไม่น้อยเข้าใจว่าเป็น Fact

เรื่องที่เกี่ยวกับสุขภาพ โภชนาการและการแพทย์ ยิ่งต้องอาศัยหลักฐานเชิงวิทยาศาสตร์และการอ้างอิงแหล่งข้อมูลที่ตรวจสอบได้

แต่เมื่อพิธีกรหรือแขกรับเชิญพูดในรายการด้วยความเชื่อส่วนตัว โดยไม่ระบุให้ชัดว่าเป็นความคิดเห็น ไม่ได้อ้างอิงงานวิจัย หรือไม่ได้เปิดพื้นที่ให้ผู้เชี่ยวชาญโต้แย้ง เสียงนั้นก็อาจส่งผลต่อพฤติกรรมผู้ชมจำนวนมากโดยไม่ตั้งใจ

กรณี “ดราม่านมวัว” ไม่ได้สะท้อนเพียงความเสี่ยงของสาระด้านสุขภาพ แต่กำลังบอกเราว่า ในยุคที่ทุกคนสามารถเป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์ได้ การยึดหลักจริยธรรมสื่อไม่ได้จำกัดอยู่แค่กองบรรณาธิการข่าวอีกต่อไป ทุกคนที่กดปุ่มโพสต์กำลังทำหน้าที่ “สื่อ” ในระดับใดระดับหนึ่ง และจำเป็นต้องแยกเขตแดนของ Fact-Opinion-Analysis ให้ชัดเจนไม่แพ้ผู้สื่อข่าวมืออาชีพ

หากย้อนกลับไปดูโมเดลกระบวนการทำข่าว เราจะพบหลักง่ายๆ คือ การรักษาความถูกต้องของข้อมูล การให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใสต่อสาธารณะ

ทั้งหมดนี้ตั้งอยู่บนสมมติฐานว่า “ผู้รับสารมีสิทธิจะรู้ความจริงอย่างครบถ้วน” หน้าที่ของสื่อจึงไม่ใช่การชี้นำว่าควรคิดอย่างไร แต่คือการมอบเครื่องมือให้สังคมคิดด้วยตัวเองอย่างมีข้อมูลและตัดสินใจได้ข้อมูลอย่างมีเหตุมีผล

ในระหว่างการบรรยายเรื่องจริยธรรมสื่อหลายครั้ง มักมีคำถามหนึ่งที่สะท้อนความจริงที่หลายคนในวงการรู้สึกเหมือนกัน คือ เราจะรักษาจริยธรรมได้อย่างไร ในวันที่จริยธรรมไม่ทำให้เราอยู่รอด?

เป็นคำถามที่เป็นคำถามที่ตรงไปตรงมา และน่าเจ็บปวดพอๆ กับความจริงของอุตสาหกรรมสื่อในวันนี้ เพราะในสนามแข่งขันที่ตัวเลขยอดวิว ยอดไลค์ และความไวในการปล่อยข่าวกลายเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จหลัก 

การลงทุนกับการตรวจสอบข้อมูล การจ้างผู้เชี่ยวชาญ หรือการลงพื้นที่เพื่อให้ได้ข้อมูลคุณภาพ แม้เป็นสิ่งที่ “ควรทำ” ตามมาตรฐานจริยธรรม แต่กลับไม่ได้รับผลตอบแทนทางธุรกิจเท่าที่ควร หลายกองบรรณาธิการจึงตกอยู่กลางความกดดันระหว่าง “หลักการ” กับ “การหารายได้เพื่อความอยู่รอด”

แม้หน่วยงานอย่าง กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ จะพยายามผลักดันตัวชี้วัดคุณภาพสื่อ (Quality Rating) ผ่านงานวิจัยหลายชุด และแม้ กสทช. จะตั้งเป้าพัฒนา “Social Credit” เพื่อประเมินคุณภาพเนื้อหารายการโทรทัศน์

แต่โจทย์ใหญ่ยังคงอยู่ว่าจะทำอย่างไรให้แบรนด์ เอเจนซี และผู้ซื้อสื่อเห็นมูลค่าของงานที่มีมาตรฐาน แม้ยอดวิวไม่พุ่งเท่าคลิปวาบหวิวหรือคอนเทนต์ดราม่า?

เพราะในความเป็นจริง แบรนด์ส่วนใหญ่ยังคงมองตัวเลขเป็นหลัก ทั้งที่เนื้อหาคุณภาพจำนวนมากมี “อิมแพกต์ต่อผู้ชม” แต่ไม่มียอดวิวสูง อัลกอริทึมไม่ดัน และไม่สร้างรายได้ทันที หากระบบเศรษฐกิจสื่อยังผูกผลตอบแทนไว้กับ “จำนวน” มากกว่า “คุณภาพ” สื่อจะมีกี่องค์กรที่ฝืนลมต้านได้อย่างยั่งยืน?

อย่างไรก็ตาม มีตัวอย่างให้เห็นว่า จริยธรรมและคุณภาพไม่ใช่ต้นทุนที่เสียเปล่า หากเป็น “สินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนระยะยาว” สื่อที่รักษาจุดยืนด้านความน่าเชื่อถือ ใช้ Fact เป็นแกนกลาง และทำงานวิเคราะห์อย่างรับผิดชอบ แม้จำนวนผู้ติดตามอาจไม่มากในช่วงแรก

แต่แฟนที่เกิดขึ้นคือ “ฐานผู้ชมแท้จริง” กลุ่มที่มีความไว้วางใจสูง มีพฤติกรรมสนับสนุนสื่อ (ทั้งยอดแชร์ ยอดสมัครสมาชิก ไปจนถึงพร้อมจ่ายเงิน) และเป็นฐานสำคัญของโมเดลธุรกิจสื่อยุคใหม่ ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกแบบรายเดือน (subscription), คอร์สความรู้, งานอีเวนต์ ไปจนถึงความร่วมมือกับแบรนด์ที่ให้คุณค่ากับคุณภาพจริงๆ

ท้ายที่สุด หากสื่อไม่มองจริยธรรมเป็นค่าใช้จ่าย แต่เป็น มาตรฐานวิชาชีพที่สร้างคุณค่า และถ่ายทอดทัศนคติรับผิดชอบต่อสังคมอย่างสม่ำเสมอ สังคมจะตอบแทนกลับด้วยความไว้วางใจ ไม่ว่าจะในรูปของชื่อเสียง ฐานแฟน หรือความยั่งยืนขององค์กร

ความจริงคือผู้ชมไม่ได้ต้องการสื่อที่สมบูรณ์แบบ แต่ต้องการสื่อที่ “ซื่อสัตย์กับความจริง” และ “ซื่อสัตย์กับผู้ชม” จึงอยากชวนคิดให้หนักว่า...ในวันที่ข้อมูล จริยธรรมไม่ใช่ภาระของสื่อแต่คือเหตุผลสุดท้ายที่ทำให้สื่อยังมีที่ยืนในสังคม