ดีอีรับดีล Starlink ส่อปิดตาย! เหตุบริษัทแม่ขอสิทธิบริหารเอง 100%

แรงกดดันจากดีลลดภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ และเงื่อนไขที่ Starlink ต้องได้สิทธิบริหารเต็ม 100% ทำให้ไทยต้องชั่งน้ำหนักระหว่าง "กิจการอวกาศ" กับ "ความมั่นคงดิจิทัล" สุดท้ายจึงนำมาสู่คำตอบที่ชัดเจน นี่อาจเป็น “ประตูที่ปิดตาย” สำหรับอีลอน มัสก์ หากยังยืนเงื่อนไขต่างชาติถือหุ้นเต็มรูปแบบ
KEY
POINTS
- กระทรวงดีอีระบุการเจรจากับ Starlink ไม่สามารถบรรลุได้ เพราะ เงื่อนไขขอสิทธิบริหารและถือหุ้น 100% ซึ่งขัดต่อกฎหมายไทยและหลักความมั่นคงด้านโทรคมนาคม
- รมว.ดีอี ปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าวอย่างเด็ดขาด โดยยืนยันว่ากฎหมายไทยอยู่เหนือข้ออ้างของบริษัท และไม่สามารถแลกความมั่นคงกับเทคโนโลยีได้
- กฎหมายไทยและข้อบังคับของ กสทช. กำหนดเพดานการถือหุ้นของต่างชาติในกิจการโทรคมนาคมที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ ทำให้ไม่สามารถยอมรับเงื่อนไขการถือหุ้น 100% ได้
- รัฐบาลไทยมีความกังวลว่าการอนุญาตให้ Starlink เข้ามาเต็มรูปแบบอาจสร้างการผูกขาดในตลาดและส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการรายเดิมในระยะยาว
- แม้ไทยจะมีนโยบายเปิดเสรีดาวเทียม "Landing Right" แต่เป็นเพียงการให้สิทธิใช้สัญญาณ ไม่ใช่สิทธิในการถือครองกิจการ ซึ่งไม่ตอบโจทย์เงื่อนไขของ Starlink ทำให้ดีลนี้แทบเป็นไปไม่ได้
การเจรจาระหว่าง นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กับผู้บริหารระดับสูงของ SpaceX นำโดย Mr. Oliver Edelmann กลายเป็นเหตุการณ์สำคัญที่สะท้อนทิศทางนโยบายอวกาศของไทยอย่างชัดเจน เมื่อฝ่าย SpaceX อ้างประกาศจากทำเนียบขาวว่าการลงทุนของ Starlink ในต่างประเทศต้องอยู่ภายใต้โครงสร้างที่บริษัทสหรัฐฯ และ อีลอน มัสก์ ถือหุ้นและได้สิทธิบริหาร 100% เท่านั้น
ข้อเสนอเช่นนี้ตรงข้ามกับทั้ง กฎหมายไทย, กฎระเบียบจาก สำนักงานคณะกรรมการ กระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) , และ หลักความมั่นคงดิจิทัล ที่ห้ามต่างชาติถือครองกิจการโทรคมนาคมที่มีความเกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ
การที่ Starlink ต้องถือหุ้นเต็ม 100% เป็นเงื่อนไขที่ไทยไม่อาจตอบรับ ดังนั้นคำตอบของไทยจึงชัดเจน “ทำไม่ได้”
ไชยชนก สะท้อนมุมมองว่า แม้ไทยต้องการเทคโนโลยีดาวเทียมวงโคจรต่ำ แต่จะไม่แลกความมั่นคงกับเงื่อนไขที่ผิดกฎหมาย และยืนยันว่า ต่อให้ประกาศจากทำเนียบขาวมีอยู่จริง ก็ไม่อาจทับกฎหมายไทยได้จึงทำให้ ท่าทีเด็ดขาดเช่นนี้จึงถูกตีความว่าเป็นการ “ปิดประตูตาย” ต่อ Starlink อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ทำไมไทยถึงไม่สามารถเปิดทางให้ถือหุ้น 100% ได้
แม้หลายประเทศเปิดตลาดสื่อสารดาวเทียมให้ต่างชาติเต็มที่ แต่โครงสร้างกฎหมายไทยมีข้อจำกัดชัดเจน ได้แก่
- กิจการโทรคมนาคมระดับโครงสร้างพื้นฐาน จัดเป็นกิจการที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง
- กฎหมายโทรคมนาคมและประกาศ กสทช. กำหนดเพดานการถือหุ้นต่างชาติ
- ความเสี่ยงการครอบงำตลาด หากมีผู้เล่นเทคโนโลยีเหนือคู่แข่งแบบ Starlink เข้ามาเต็มรูปแบบ
สิ่งที่ต้องตระหนักสำหรับประเทศไทยคือ การเผชิญโจทย์ซับซ้อนว่า การเปิดเสรีรวดเร็วอาจนำไปสู่การ “ผูกขาดรูปแบบใหม่” เนื่องจาก Starlink มีโครงข่ายกว่า 6,000 ดวงที่ประเทศอื่นยังทำไม่ได้ แม้ SpaceX จะยืนยันว่าไม่ต้องการแข่งขันกับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตในไทย แต่ด้วยคุณภาพและความเร็ว ผลลัพธ์แท้จริงอาจทำให้ผู้ประกอบการรายเดิมเสียโครงสร้างรายได้ระยะยาว
ดังนั้น ไทยจึงไม่สามารถเปิดตลาดแบบ “ให้เข้ามาเต็มแพ็กเกจ หรือไม่เข้ามาเลย” ตามที่ SpaceX เสนอได้
เงื่อนไขซ่อนเร้น: ดีลภาษีนำเข้า 19% เชื่อมโยงสหรัฐฯ – Starlink
แหล่งข่าวในโทรคมนาคมให้ข้อมูลว่า หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้สหรัฐฯ ลดภาษีนำเข้าสินค้าไทยจาก 36% เหลือ 19% คือความคืบหน้าในเรื่องการเปิดทางให้ผู้ประกอบการอวกาศสหรัฐฯ เข้ามาลงทุนในภูมิภาค ซึ่งรวมถึง Starlink ด้วย จึงไม่แปลกที่ฝ่าย SpaceX จะยก “ประกาศทำเนียบขาว” มาอ้างระหว่างเจรจา
อย่างไรก็ตาม ไทยย้ำว่าการเจรจาดังกล่าวไม่เคยอยู่ในข้อตกลงการค้าอาเซียน-สหรัฐฯ ที่เพิ่งลงนามในมาเลเซียเมื่อเดือนก่อน ส่งผลให้รัฐบาลต้องเร่งตรวจสอบว่าฝ่ายสหรัฐฯ ได้อ้างเอกสารที่มีอยู่จริงหรือไม่ และมาได้อย่างไร
ในประเด็นนี้ ไทยต้องระมัดระวัง เพราะหากปฏิเสธ Starlink อาจถูกมองว่า ไม่ทำตามสัญญาความร่วมมือ และอาจส่งผลกระทบต่อการค้าในอนาคต
เปิดเสรีดาวเทียม–Landing Right นโยบายก้าวหน้าของไทย
ในอีกด้านหนึ่ง ไทยกำลังเดินหน้าเปิดเสรีดาวเทียมผ่านนโยบาย “Landing Right” โดยคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ (กนอช.) ได้เห็นชอบร่างนโยบายและหลักเกณฑ์ระดับรัฐแล้ว เพื่อเปิดทางให้บริการดาวเทียมจากต่างชาติเข้ามาอย่างเป็นระบบ ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ เพิ่มการแข่งขัน และใช้เทคโนโลยีดาวเทียมในด้านการแพทย์ การศึกษา และรับมือภัยพิบัติ
แต่ถึงไทยจะเปิดเสรีดาวเทียมมากขึ้น ก็ไม่ได้หมายความว่า Starlink สามารถเข้ามาบริหารแบบ 100% ตามที่ต้องการ เพราะ Landing Right คือสิทธิการใช้สัญญาณ ไม่ใช่สิทธิถือหุ้นกิจการในประเทศ
กล่าวอีกอย่างคือไทยพร้อมเปิดเสรีบริการดาวเทียม แต่ไม่พร้อมเปิดให้ต่างชาติถือกิจการสื่อสารแบบเบ็ดเสร็จ นี่คือจุดที่ Starlink ติดคอขวด และทำให้ดีลนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้
กสทช.เร่งคลายล็อก แต่กฎหมายยังเป็นกำแพงสูง
กสทช.ได้มีมติที่ประชุมอนุมัติร่างประกาศใหม่ที่แยกใบอนุญาตเป็น 3 ระดับ ได้แก่
1. ใบอนุญาต Landing Right
2. ใบอนุญาตขายความจุดาวเทียม
3. ใบอนุญาตใช้คลื่นและตั้งสถานีภาคพื้น
แนวทางนี้ช่วยให้ผู้เล่นต่างชาติสามารถเข้ามา “ขายบริการ” ได้ง่ายขึ้น แต่ไม่ใช่ “ถือกิจการบริหารทั้งหมด” แบบที่ Starlink ต้องการ
ดังนั้น ต่อให้ไทยเปิดประเทศให้บริการดาวเทียมอย่างเสรีมากขึ้น แต่ Starlink ที่กำหนดเงื่อนไข “100% Ownership หรือไม่เข้ามาเลย” ก็ยังไม่สามารถผ่านเกณฑ์ได้
เทคโนโลยีดีแค่ไหน ก็ไม่อาจแลกด้วยความมั่นคง
ที่ผ่านมา Starlink ได้รับอนุญาตจากกสทช.แม้การทดลองร่วมกับ GISTDA และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โดยผลสรุปได้ชี้ชัดว่า Starlink ช่วยยกระดับการศึกษาและการแพทย์ในพื้นที่ห่างไกลได้จริง ในด้านการสื่อสารในพื้นที่ไกล มีความหน่วงต่ำความมีความหน่วงต่ำความแม่นยำสูง
รัฐมนตรีไชยชนก กล่าวไว้อย่างน่าคิดว่า เข้าใจเจตนาในประเด็นนั้น แต่เทคโนโลยีดีแค่ไหน ก็ต้องคิดถึงอีโคซิสเต็มส์ ผู้ประกอบการไทยที่มีอยู่ในตลาดเดิมและความมั่นคงก่อน
เพราะการให้ผู้เล่นที่มีเทคโนโลยีเหนือกว่าคนอื่นทั้งหมดเข้ามาในตลาด อาจทำให้โครงสร้างตลาดโทรคมนาคมถูกครอบงำในระยะยาว และท้ายที่สุดประเทศไทยอาจเสียอำนาจควบคุมด้านดิจิทัลความมั่นคงไปโดยไม่รู้ตัว
ประตูที่ปิดตาย หรือจังหวะที่ไทยต้องรอ
คำถามสำคัญคือ ไทยควรจะยอมปรับกฎหมายเพื่อรองรับเทคโนโลยีระดับโลกอย่าง Starlink หรือควรยืนหลักตามกฎหมายเดิมเพื่อคุ้มครองโครงสร้างพื้นฐานของชาติ แต่สำหรับเงื่อนไขที่ Starlink ต้องถือหุ้น 100% เห็นได้ชัดว่า นี่คือเงื่อนไขที่ไทยไม่มีทางตอบสนองได้ และจนกว่า SpaceX จะปรับท่าที การลงทุนรูปแบบเต็มตัวของ Starlink ในไทยก็แทบหมดความเป็นไปได้







