ปราบสแกมเมอร์ ทำน้อย ทำช้า ทำกี่โมง | Now and Beyond

ลองไล่ดูว่าต่างชาติและประเทศใกล้ๆ จริงจังกับการปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์มากน้อยแค่ไหน แล้วมองกลับมาว่ารัฐบาลประเทศไทยจัดการเรื่องนี้เพียงพอหรือยัง ทันอกทันใจหรือไม่ และจะยังคาดหวังรัฐบาลได้เพียงใด
17 ต.ค.2568 สหรัฐอเมริกาประกาศริบ Bitcoin ของนายเฉิน จื้อ เจ้าของปรินซ์กรุ๊ปที่อยู่เบื้องหลังสแกมเมอร์รายใหญ่ของโลกไปกว่า 127,000 เหรียญ มูลค่าสูงถึง 15,000 ล้านดอลลาร์หรือประมาณ 490,000 ล้านบาท ก่อนหน้านั้นอังกฤษประกาศยึดคฤหาสน์มูลค่า 15.6 ล้านดอลลาร์ในลอนดอนเหนือ และอาคารสำนักงานมูลค่า 130 ล้านดอลลาร์ของกลุ่มธุรกิจรายนี้เมื่อวันที่ 14 ต.ค.
การประกาศของสองประเทศใหญ่สร้างแรงกระเพื่อมต่อเนื่องมาถึงสถาบันการเงินในเอเชียทันที โดย สส. เกาหลีใต้ออกมาเรียกร้องรัฐบาลให้อายัดบัญชีเงินฝากของปรินซ์กรุ๊ปมูลค่ากว่า 90,000 ล้านวอน (ราว 2,000 ล้านบาท) ในธนาคารสัญชาติเกาหลีใต้ 5 แห่งในสาขากัมพูชา พร้อมทั้งสอบสวนบริษัทเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง
นี่คือ การขยับของรัฐบาลเกาหลีใต้หลังส่งผู้ช่วยรัฐมนตรีบุกไปกัมพูชาเมื่อ 16 ต.ค. 2568 นำตัวผู้ต้องหาและผู้เกี่ยวข้องกับสแกมเมอร์กว่า 60 คนกลับประเทศหลังคนของเขาถูกหลอกลวงมาทำงานกับแก๊งสแกมเมอร์ในกัมพูชาและถูกทำร้ายจนถึงแก่ชีวิต
ต่อมาคือ สิงคโปร์ ประกาศยึดทรัพย์สินทางการเงินเครือปรินซ์กรุ๊ปมูลค่าประมาณ 114 ล้านดอลลาร์ ในเวลาไล่เลี่ยกับที่ไต้หวัน ยึดทรัพย์สินมูลค่า 150 ล้านดอลลาร์ รวมถึงรถยนต์หรู 26 คันและอพาร์ตเมนต์ 11 ห้องในอาคารแห่งหนึ่งในไทเปจากปรินซ์กรุ๊ป
ตามมาด้วยตำรวจฮ่องกงประกาศยึดทรัพย์สินมูลค่าประมาณ 353 ล้านดอลลาร์ ที่ส่วนใหญ่เป็นเงินสด หุ้นและกองทุนอื่นๆ และขยายผลสอบสวนบริษัทอีกอย่างน้อย 18 แห่งที่พัวพันกับแก๊งนี้
มาดูที่หนักกว่านั้น เมื่อวันที่ 5 พ.ย.2568 ศาลประชาชนกลางในเมืองเซินเจิ้น มณฑลกวางตุ้งของจีนตัดสินประหารชีวิต 5 สมาชิกระดับสูงของมาเฟียตระกูลไป๋ ซึ่งเป็นแก๊งอาชญากรรมที่อยู่เบื้องหลังศูนย์สแกมเมอร์หลายสิบแห่งในภูมิภาคโกก้างทางตอนเหนือของเมียนมา ตระกูลไป๋ตั้งศูนย์ปฏิบัติการหลอกลวง 41 แห่งในโกก้าง ซึ่งเกี่ยวข้องกับเม็ดเงินมูลค่ามหาศาลกว่า 29,000 ล้านหยวน หรือกว่า 1.32 แสนล้านบาท
ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 30 ก.ย. ศาลท้องถิ่นในมณฑลเจ้อเจียงตัดสินโทษประหารชีวิตอาชญากร 11 คนซึ่งเป็นสมาชิกของแก๊งตระกูลหมิง กลุ่มฉ้อโกงที่มีฐานปฏิบัติการอยู่ในเมืองเล่าก์ก่ายทางตอนเหนือของเมียนมา ใกล้ชายแดนจีน จากการกระทำความผิดทางอาญาหลายกระทง
การปฏิบัติการที่ดำเนินไปอย่างรวดเร็วและเป็นวงกว้างตั้งแต่กลางเดือน ต.ค.ถึงต้นเดือน พ.ย. 2568 แสดงถึงความมุ่งมั่นของประเทศต่างๆ ในการปกป้องประชาชนและระบบการเงินของตน
ทีนี้หันกลับมาดูประเทศไทยที่อยู่ใกล้แค่ปากแค่จมูกของกองบัญชาการใหญ่แก๊งสแกมเมอร์บ้าง วันที่ 15 ต.ค. 2568 ในขณะที่ประเทศทั้งหลายต่างใช้ยาแรงกันแล้วอย่างเต็มที่ นายกรัฐมนตรีไทยเพิ่งจะประกาศแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี มีทั้งรัฐมนตรีและข้าราชการประจำรวม 23 คน
พอวันที่ 21 ต.ค. นายกรัฐมนตรีเสนอในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีให้เรื่องการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเป็น “วาระแห่งชาติ”
วันที่ 6 พ.ย.2568 นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) 15 หน่วยงานว่าด้วยความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ยิ่งทำให้ไม่เข้าใจว่าเวลาเกือบหนึ่งเดือนผ่านไปรัฐบาลมีผลงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันบ้างในการปราบสแกมเมอร์ จะทำเอ็มโอยูไปเพื่ออะไร
หน่วยงานทั้งหลายเหล่านี้มีหน้าที่ที่จะต้องทำงานอย่างเข้มแข็งตามหน้าที่อยู่แล้ว ที่ผ่านมาหน่วยงานไหนไม่มีผลงานควรถูกคาดโทษ ไม่มีความจำเป็นต้องมาเซ็นเอ็มโอยูถ่ายรูปโชว์ให้เป็นที่น่าขบขัน
การทำงานของรัฐบาลชุดนี้ที่อาจจะมีอายุแค่ 4 เดือนจึงไม่มีอะไรก้าวหน้าไปจากรัฐบาลอายุ 1 ปีชุดก่อนหน้าไม่เคยทำอะไรเลย มิไยที่ประเทศไทยจะเป็นประเทศที่อยู่ใกล้ศูนย์กลางสแกมเมอร์ และประชาชนตกเป็นเหยื่อมาอย่างยาวนาน การทำงานแบบเชื่องช้ามะงุมมะงาหราและทำแบบเกาไม่ถูกที่คัน จึงไม่สร้างประโยชน์งอกเงยอะไร
ที่ย่ำแย่กว่านั้นคือตั้งแต่ต้นเดือน พ.ย.เป็นต้นมา ประชาชนได้ยินแต่การเข้าไปพัวพันกับแก๊งอาชญากรรมออนไลน์ของนักการเมือง จนบัดนี้ยังไม่สามารถออกมาเคลียร์ให้ประชาชนหายสงสัย ทุกวันประชาชนจะได้ยินแต่ “คณะกรรมการไปดูแล้ว” หรือ “กำลังเฝ้าระวัง ตรวจสอบ ติดตาม ประสานงาน”
ลองยึดทรัพย์รายใหญ่ให้เห็นตัวอย่างก่อนเป็นไร เริ่มที่อดีต ผบ.ตร.ก็ยังได้ เพราะคนรับราชการกินเงินเดือนตำรวจหากอุดมทรัพย์สินขนาดนี้ก็ชวนให้พิศวง
เรื่องสแกมเมอร์ในประเทศไทยเมื่อเทียบกับประเทศอื่นจึงยังทำช้า ทำน้อย ทำแบบกล้าๆ กลัวๆ และอึมครึมเป็นอย่างยิ่ง ประชาชนต้องการการทำงานที่เด็ดขาดเฉียบขาดกว่าที่เป็นอยู่แบบไม่เกรงใจใคร อย่างที่เห็นในเกาหลีและจีนเป็นตัวอย่างแล้ว หรือเราจะไม่มีวันเห็นเพราะมันซับซ้อนเกินกว่าจะขุดคุ้ย
ป่วยการที่รัฐบาลจะอวดอ้างว่าประเทศไทยเข้าสู่จอเรดาร์ของโลกแล้ว ซึ่งก็ยังมองไม่เห็นว่าเอาเหตุผลอะไรมาสนับสนุน แต่ในสายตาต่างประเทศอาจเห็นเราอยู่บนจอเรดาร์โลกที่ต้องจับตาใกล้ชิด เพราะเหตุว่าเรายังปล่อยสแกมเมอร์ให้ชุกชุมทั้งในบ้านและรอบบ้านโดยยังไม่มีปัญญาจะจัดการใดๆ







