จับตา 20 พ.ย.นี้ 'ไชยชนก' หึ่มนัดผู้แทน Facebook เอาจริงปราบสแกมเมอร์-บล็อกยิงโฆษณา

“ไชยชนก” ลั่น รัฐบาลไม่ทน! เตรียมสอบเข้มผู้บริหาร Facebook หลังปล่อยกลุ่มสีเทาค้า–ซื้อ–ขายข้อมูลส่วนบุคคลกว่าหลายล้านรายชื่อบนแพลตฟอร์ม พร้อมเผยปฏิบัติการ “Cut Down Scam” สกัดเครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์รายใหญ่ ยึดของกลางอื้อและจับผู้ต้องหา 6 รายทั่วประเทศ
KEY
POINTS
- รัฐมนตรีดีอี นัดผู้บริหารเมตา (Facebook) เข้าพบในวันที่ 20 พ.ย.นี้เพื่อหารือแนวทางจัดการปัญหาสแกมเมอร์และอาชญากรรมไซเบอร์
- การนัดพบครั้งนี้มีสาเหตุหลักมาจากการจับกุมขบวนการค้าข้อมูลส่วนบุคคลกว่า 9 ล้านรายชื่อ ซึ่งใช้ "กลุ่มลับบนเฟซบุ๊ก" เป็นช่องทางในการซื้อขาย
- รัฐบาลไทยจะเรียกร้องให้ Facebook ชี้แจงเหตุผลที่ปล่อยให้มีการใช้แพลตฟอร์มเป็นแหล่งซื้อขายข้อมูล และจะเสนอให้มีมาตรการตรวจสอบที่เข้มงวดขึ้น เช่น การยืนยันตัวตนผู้ใช้
- หัวข้อการหารือจะครอบคลุมถึงการควบคุมโฆษณาผิดกฎหมายและกลุ่มพนันออนไลน์ที่ยังคงแพร่ระบาดบนแพลตฟอร์มของ Facebook
นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีการจับกุมขบวนการซื้อขายข้อมูลประชาชนกว่า 9 ล้านรายชื่อ ซึ่งโยงไปถึง “กลุ่มลับบนเฟซบุ๊ก” ว่า กระทรวงฯ เตรียมเรียกผู้บริหารบริษัทเมตา เจ้าของแพลตฟอร์ม Facebook เข้าพบในวันที่ 20 พฤศจิกายนนี้ เพื่อชี้แจงอย่างเป็นทางการถึงเหตุผลที่ปล่อยให้กลุ่มสีเทาใช้แพลตฟอร์มเป็นแหล่งซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคลอย่างกว้างขวาง
ขณะนี้เฟซบุ๊กกำลังเผชิญแรงกดดันอย่างหนักจากสังคมไทย หลังถูกเปิดโปงว่ามีกลุ่มลับใช้พื้นที่บนแพลตฟอร์มเพื่อค้าขายข้อมูลประชาชนโดยไม่มีการตรวจสอบหรือจัดการอย่างจริงจัง ถือเป็นความผิดร้ายแรงที่กระทบต่อความมั่นคงของประเทศ และเฟซบุ๊กจำเป็นต้องชี้แจงต่อรัฐบาลไทยโดยตรง
เฟซบุ๊กต้องมาคุยกับผมวันที่ 20 พฤศจิกายนนี้ เพื่อชี้แจงทั้งหมด ว่าทำไมถึงปล่อยให้มีการตั้งกลุ่มลับซื้อขายข้อมูลกันได้อย่างโจ่งแจ้ง เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่เป็นปัญหาที่กระทบความมั่นคงของประชาชนทั้งประเทศ
เขา กล่าวเพิ่มเติมว่า การพูดคุย กับเฟซบุ๊กครั้งนี้จะเป็นการหารือโดยตรงระหว่างรัฐบาลไทยกับผู้บริหารระดับภูมิภาคของเมตา เพื่อวางแนวทางร่วมกันในการ “จัดการและป้องกัน” ปัญหาอาชญากรรมไซเบอร์ที่อาศัยช่องว่างบนแพลตฟอร์ม รวมถึงการควบคุมโฆษณาผิดกฎหมายและกลุ่มพนันออนไลน์ ซึ่งยังคงแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่องบนเฟซบุ๊ก
“เราคุยกับเมตามาแล้วก่อนหน้านี้ประมาณสามสัปดาห์ เขายืนยันว่าจะบินมาพบด้วยตัวเองในวันที่ 20 พฤศจิกายน เพื่อร่วมพูดคุยเรื่องการจัดการปัญหาสแกมเมอร์และกลุ่มสีเทา ถือเป็นสัญญาณที่ดี เพราะเราจะได้คุยกันตรงไปตรงมา”
นายไชยชนกกล่าว พร้อมย้ำว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นภายหลังจากรายงานของสำนักข่าวต่างประเทศ ทำให้เมตาถูกกดดันให้ต้องแสดงความรับผิดชอบอย่างจริงจังมากขึ้น
รัฐมนตรีดีอีระบุว่า กระทรวงฯ จะไม่เพียงรอฟังคำชี้แจงจากเฟซบุ๊กเท่านั้น แต่จะเสนอแนวทางเชิงนโยบายให้บริษัทต้องมี “ระบบตรวจสอบภายในที่เข้มงวดกว่าเดิม” รวมถึง การยืนยันตัวตนของผู้ใช้ (Identity Verification) เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการสร้างบัญชีปลอมที่ถูกนำไปใช้ในทางผิดกฎหมาย
ผมคิดว่ากฎหมายที่เรากำลังปรับปรุงอยู่นี้ จะทำให้แพลตฟอร์มทั้งหมด รวมถึงเฟซบุ๊ก ต้องจริงจังกับเรื่องยืนยันตัวตนมากขึ้น ถ้าไม่ทำ แล้วเกิดความเสียหายกับประชาชน แพลตฟอร์มต้องร่วมรับผิดชอบด้วย
ทั้งนี้ นายไชยชนกได้เปิดเผยผลปฏิบัติการ “Cut Down Scam – สยบเครือข่ายค้าข้อมูลส่วนบุคคล” ภายหลังการประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ครั้งที่ 8/2568 ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPC) ที่สามารถสกัดวงจรอาชญากรรมไซเบอร์รายใหญ่ได้สำเร็จ
การปฏิบัติการครั้งนี้ เจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้น 8 พื้นที่ทั่วประเทศ ได้แก่ เชียงราย อุดรธานี สระบุรี ปทุมธานี สมุทรสาคร ประจวบคีรีขันธ์ ชลบุรี และภูเก็ต พร้อมจับกุมผู้ต้องหาได้ทั้งหมด 6 ราย ตามหมายจับศาลอาญาในข้อหา “เก็บรวบรวม ครอบครอง หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อนำไปใช้กระทำอาชญากรรมทางเทคโนโลยี” ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
เจ้าหน้าที่ยังตรวจยึดของกลางจำนวนมาก อาทิ คอมพิวเตอร์ 6 เครื่อง โทรศัพท์มือถือ 17 เครื่อง อุปกรณ์สำรองข้อมูล 9 เครื่อง สมุดบัญชีธนาคาร 7 เล่ม และอุปกรณ์เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์อีกหลายรายการ
จากการสืบสวนพบว่า กลุ่มผู้ต้องหาเป็นเครือข่ายค้าข้อมูลประชาชนรายใหญ่ ใช้เพจเฟซบุ๊กชื่อ “การตลาดสายเทา” เป็นช่องทางซื้อขายข้อมูลชื่อ-สกุล ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ บัญชีธนาคาร และบัญชีไลน์ ในราคาประมาณ 3,000–5,000 บาทต่อ 100,000 รายชื่อ โดยเจ้าหน้าที่ได้ล่อซื้อจนพบว่าข้อมูลที่ขายเป็นข้อมูลจริง รวมกว่า 2.3 ล้านรายชื่อ
เมื่อตรวจสอบกับฐานข้อมูลแจ้งความออนไลน์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่ามีรายชื่อผู้เสียหายจากคดีหลอกลวงออนไลน์ถึง 4,630 คดี รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 298 ล้านบาท ขณะที่การขยายผลเพิ่มเติมพบว่าข้อมูลส่วนใหญ่หลุดมาจากเครือข่ายเว็บพนันออนไลน์ แอปกู้เงินเถื่อน และแอปหลอกลวงขอข้อมูลส่วนตัว ซึ่งผู้ต้องหายังมีฐานข้อมูลอีกกว่า 6 ล้านรายชื่อ รวมทั้งหมดกว่า 9 ล้านรายชื่อ โดยผู้ต้องหาทั้ง 6 รายให้การรับสารภาพ
นายไชยชนกกล่าวทิ้งท้ายว่า ปัญหาอาชญากรรมไซเบอร์ โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์และกลุ่มพนันออนไลน์ ได้สร้างความเสียหายอย่างหนักทั้งต่อประชาชนและเศรษฐกิจประเทศ รัฐบาลจึงให้ความสำคัญกับการสกัดกั้นเครือข่ายเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง พร้อมเตือนประชาชนให้ระมัดระวังการให้ข้อมูลส่วนบุคคล โดยเฉพาะเมื่อกรอกข้อมูลผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันที่ไม่น่าเชื่อถือ
กระทรวงดีอีและสำนักงานตำรวจแห่งชาติย้ำว่า การซื้อ ขาย หรือครอบครองข้อมูลส่วนบุคคลของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต ถือเป็นความผิดตามกฎหมาย ผู้กระทำจะต้องถูกดำเนินคดีตามพระราชกำหนดว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีอย่างเด็ดขาด






