โอกาสแห่งความสำเร็จ กับวิธีคิดที่ต่างออกไป

โอกาสแห่งความสำเร็จ กับวิธีคิดที่ต่างออกไป

มนุษย์ทุกคนล้วนต้องการความสำเร็จ เพราะในใจของทุกคนต่างมี “ความฝัน” อยู่เสมอ จะฝันเล็ก ฝันกลาง หรือฝันใหญ่ก็ไม่สำคัญเท่ากับว่าเราอยากเห็นมันเป็นจริง

แต่ในความเป็นจริง โลกนี้มีทั้งคนที่ทำได้ และคนที่ฝันสลายอยู่มากมาย สิ่งที่ทำให้ทั้งสองกลุ่มนี้แตกต่างกัน อาจไม่ใช่เรื่องพรสวรรค์หรือโชคชะตา แต่คือการลงมือทำอย่างจริงจัง และทำได้จนถึงเป้าหมาย

ทั้งนี้ความฝันไม่จำเป็นต้องเป็นของใครคนหนึ่งเท่านั้น ในองค์กร ความฝันอาจเป็นของคนทั้งทีม หรือทั้งบริษัท ที่อยากเห็นสิ่งเดียวกัน เพราะไม่มีใครเริ่มต้นธุรกิจด้วยความหวังว่าจะล้มเหลว ทุกคนต่างอยากให้บริษัทเติบโต แข็งแรง และอยู่รอด

จากสถิติที่เก็บข้อมูลในระยะยาวจะพบว่า มีเพียง 5–6% เท่านั้น ที่สามารถทำความฝันของตัวเองให้สำเร็จได้ตามตั้งใจ และในโลกของธุรกิจ ตัวเลขยิ่งชัดเจนด้วยจำนวน 30–40% ของบริษัทใหม่จะปิดตัวลงภายใน 3–5 ปีแรกเท่านั้น และเมื่อถึงปีที่ 10 เหลือเพียงไม่ถึง 30% ที่ยังยืนอยู่ได้

คำถามคือ ทำไมคนกลุ่มเล็ก ๆ นั้นถึงไปต่อได้ คำตอบอาจอยู่ที่วิธีคิดและวินัยในการลงมือทำ ซึ่งแม้จะฟังดูธรรมดา แต่กลับเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำไม่ต่อเนื่อง ซึ่งผมรวบรวมไว้ได้ 9 ข้อด้วยกัน

เริ่มจากข้อแรก เป้าหมายใหญ่ต้องแยกเป็นเป้าหมายเล็กเสมอ ไม่ว่างานจะใหญ่แค่ไหน ถ้าไม่แยกออกเป็นเป้าหมายย่อย ๆ สุดท้ายเราจะรู้สึกว่ามันไกลเกินเอื้อม แล้วก็หมดแรงไปก่อนจะถึงครึ่งทาง เป้าหมายใหญ่อาจถูกแยกเป็น 10 ขั้นย่อย และทุกครั้งที่เราทำสำเร็จไปหนึ่งขั้นเล็ก ๆ สมองเราจะสร้างแรงบันดาลใจให้ก้าวต่อไปอีกเรื่อย ๆ

ความสำเร็จเล็ก ๆ ที่สะสมทุกวัน จะกลายเป็นความมั่นใจ และสุดท้ายกลายเป็นนิสัยของคนสำเร็จ เพราะความสำเร็จไม่จำเป็นต้องเกิดจากก้าวกระโดดครั้งใหญ่แต่เพียงอย่างเดียว  แต่อาจมาจาก “ก้าวเล็ก ๆ ซ้ำ ๆ” ที่เราทำอย่างต่อเนื่องและไม่หยุด

ข้อสองต้องรู้จุดแข็งของตัวเอง แล้วโฟกัสให้สุด เพราะการตั้งเป้าหมายต้องสอดคล้องกับจุดแข็งของตัวเอง ไม่ใช่แค่ทำตามกระแสหรืออยากเหมือนคนอื่น เพราะเมื่อเราทำในสิ่งที่ไม่ถนัด ต่อให้ตั้งใจมากแค่ไหนเราก็อาจเหนื่อยและท้อ จนสุดท้ายต้องหยุดกลางทาง

จงถามตัวเองเสมอว่า อะไรคือสิ่งที่เราทำได้ดีกว่าคนอื่น บางครั้งคำตอบอาจไม่ได้สวยหรู แต่อาจเป็นสิ่งเล็ก ๆ ที่เราทำได้ดีกว่าคนส่วนใหญ่ และนั่นคือฐานของความสำเร็จที่แท้จริง เพราะเราไม่อาจทำหลาย ๆ เรื่องพร้อมกันในเวลาอันจำกัด เราจึงไม่ควรพยายามเป็นทุกอย่างในเวลาเดียวกัน เพราะสุดท้ายเราอาจไม่เก่งสักเรื่องเดียวเลย

ข้อที่สาม รายละเอียดคือเข็มทิศของความสำเร็จ เพราะเป้าหมายที่ดี ต้องมี “รายละเอียด” ไม่ใช่แค่คำพูดกว้าง ๆ แบบรวบรัด แต่ต้องมีรายละเอียดคือการวางแผน ว่าจะเริ่มตรงไหน ต้องเรียนรู้อะไรบ้าง จะวัดผลเมื่อไหร่ และจะทำอย่างไรหากไม่เป็นไปตามแผน

เมื่อเจออุปสรรค อย่ามองมันเป็นกำแพง แต่ให้แปลมันเป็นข้อมูล ยิ่งเรารู้รายละเอียดของปัญหามากเท่าไหร่ เรายิ่งเห็นเส้นทางที่จะแก้ปัญหาได้เร็วขึ้นเท่านั้น เหมือนกับการขับรถ ถ้าไม่มีแผนที่ เราก็แค่ขับไปเรื่อย ๆ จนหลงทางและหมดน้ำมันก่อนถึงปลายทาง

แต่ถ้ามีแผนที่ เราจะรู้ทางหลัก ทางลัด และทางสำรอง และมีเส้นทางที่เราคิดไว้ 2-3 เส้น แล้วเลือกเส้นทางที่เหมาะสมกับเราที่สุดเพื่อให้ไปถึงเป้าหมายได้ในเวลาที่ต้องการ

ยังคงเหลืออีก 6 ข้อที่ต้องขอให้ติดตามในสัปดาห์หน้านะครับ...