ชนะเลิศ! 'GRYPHON' เปลี่ยนขยะเหมือง เป็นแบตเตอรี่กราฟีนสุดล้ำ

เวที "Ford Smart Mobility Challenge 2025" ปั้นนวัตกรเปลี่ยนโลก "GRYPHON" คว้าชัย พลิกโฉมขยะเหมืองแม่เมาะสู่แบตเตอรี่กราฟีน
KEY
POINTS
- ทีมนักศึกษา มจธ. ในชื่อ "GRYPHON" สร้างนวัตกรรมเปลี่ยน "ลีโอเนอร์ไดต์" ซึ่งเป็นของเสียจากเหมืองถ่านหินแม่เมาะ ให้กลายเป็นกราฟีนออกไซด์สำหรับผลิตแบตเตอรี่
- แบตเตอรี่กราฟีนที่ได้เป็นแบตเตอรี่ชนิดของแข็ง (Solid-State Battery) มีความปลอดภัยสูง ไม่เสี่ยงต่อการลุกไหม้ มีความจุพลังงานสูง และเสื่อมสภาพช้ากว่าแบตเตอรี่ทั่วไป
- โครงการนี้สามารถคว้ารางวัลชนะเลิศจากเวทีการแข่งขัน "Ford Smart Mobility Challenge 2025" ซึ่งช่วยเพิ่มมูลค่าของเสียและแก้ปัญหามลพิษในชุมชน
ในยุคที่เทคโนโลยีกำลังขับเคลื่อนโลกไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง การมองหาแหล่งพลังงานที่สะอาดและยั่งยืนได้กลายเป็นภารกิจสำคัญของเหล่านักคิดและนวัตกรทั่วโลก แต่ใครจะไปคาดคิดว่าคำตอบบางส่วนของภารกิจนี้จะซ่อนตัวอยู่ในกอง "ของเสีย" ขนาดยักษ์ที่เหมืองถ่านหินในประเทศไทย นี่ไม่ใช่พล็อตเรื่องในภาพยนตร์ไซไฟ แต่คือเรื่องจริงของ GRYPHON โครงการสุดคูลจากทีมนักศึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (KMUTT) ที่ได้ฉีกทุกกฎเกณฑ์ด้วยการเปลี่ยน ลีโอเนอร์ไดต์ (Leonardite) ของเสียจากเหมืองแม่เมาะ ให้กลายเป็น แบตเตอรี่กราฟีน (Graphene Battery) วัสดุแห่งอนาคตที่กำลังจะเข้ามาปฏิวัติวงการพลังงาน
โปรเจกต์นี้เป็นผลงานที่ได้พิสูจน์ตัวเองบนเวทีระดับประเทศ โดยคว้ารางวัลชนะเลิศจากโครงการ Ford Smart Mobility Challenge 2025 มาครองได้สำเร็จ วันนี้ KT Review กรุงเทพธุรกิจไอที จะพาทุกคนไปเจาะลึกเบื้องหลังนวัตกรรมเปลี่ยนโลกชิ้นนี้ ตั้งแต่จุดเริ่มต้นที่มองเห็นปัญหา ไปจนถึงกระบวนการสร้างมูลค่าที่น่าทึ่ง และผลกระทบที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าแค่เรื่องของแบตเตอรี่ เตรียมตัวให้พร้อม แล้วไปพบกับเรื่องราวของพลังงานที่ไม่ได้แค่สะอาด แต่ยังไม่ทำร้ายมนุษย์
ขุมทรัพย์จากกองขยะ ปัญหาที่ชื่อ "ลีโอเนอร์ไดต์"
ณ เหมืองแม่เมาะ จังหวัดลำปาง มีกองของเสียที่เรียกว่า "ลีโอเนอร์ไดต์" ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากการทำเหมืองถ่านหินลิกไนต์กองอยู่มหาศาลกว่า 1,000,000 ตัน ที่ผ่านมา ลีโอเนอร์ไดต์ถูกมองว่าเป็นภาระที่สร้างปัญหาและมีค่าใช้จ่ายในการฝังกลบสูง นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดมลพิษจากฝุ่น PM2.5 และ PM10 กระทบต่อสุขภาพของชุมชนโดยรอบ แม้ปัจจุบันเหมืองแม่เมาะจะนำลีโอเนอร์ไดต์ที่ปนเปื้อนดินมาสกัดเป็น "กรดฮิวมิก" สำหรับใช้เป็นปุ๋ยปรับปรุงดิน แต่ก็ขายได้ในราคาเพียงกิโลกรัมละ 200-300 บาทเท่านั้น ทีม GRYPHON มองเห็นโอกาสที่ซ่อนอยู่ในของเสียนี้ เพราะจากการวิเคราะห์พบว่า ในลีโอเนอร์ไดต์มีธาตุคาร์บอนเป็นองค์ประกอบสูงถึง 50 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นวัตถุดิบชั้นยอดสำหรับการสร้างสรรค์วัสดุขั้นสูงอย่างกราฟีน
The GRYPHON Process ปลุกชีพของเสียด้วยนวัตกรรม
หัวใจของโปรเจกต์นี้คือกระบวนการสกัดและแปรรูปที่ทีมได้พัฒนาขึ้น ขั้นตอนแรกคือการชอัปเกรดวัตถุดิบโดยการล้างและแยกลีโอเนอร์ไดต์ออกจากดินเพื่อให้ได้ความบริสุทธิ์สูงสุด จากนั้น นำลีโอเนอร์ไดต์บริสุทธิ์มาแปรรูปเป็นกรดฮิวมิกคุณภาพสูงที่มีปริมาณคาร์บอนเข้มข้นถึง 40-50 เปอร์เซ็นต์ ไฮไลท์สำคัญอยู่ที่การนำกรดฮิวมิกนี้เข้าสู่กระบวนการที่เรียกว่า "ฮัมโม่เม็ดตอก" (Humic-metok) เพื่อสกัดออกมาเป็น "กราฟีนออกไซด์" (Graphene Oxide) ซึ่งเป็นสารตั้งต้นสำคัญในการผลิตขั้วแบตเตอรี่ ด้วยกระบวนการนี้เองที่เพิ่มมูลค่าของเสียจากหลักร้อยให้ทะยานสู่กิโลกรัมละประมาณ 3,200 บาทได้สำเร็จ
'แบตเตอรี่กราฟีน' พลังงานแห่งอนาคตที่ปลอดภัยกว่า
ผลลัพธ์ที่ได้ไม่ใช่แค่กราฟีนออกไซด์ธรรมดา แต่คือส่วนประกอบสำคัญของ "Solid-State Battery" หรือแบตเตอรี่ชนิดของแข็ง แบตเตอรี่ชนิดนี้มีความปลอดภัยสูงกว่าแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบันอย่างมาก เนื่องจากไม่ใช้อิเล็กโทรไลต์ที่เป็นของเหลวซึ่งเป็นสารไวไฟ ทำให้แบตเตอรี่ของ GRYPHON ไม่มีความเสี่ยงจากการลัดวงจรที่ก่อให้เกิดไฟไหม้หรือการระเบิด ต่อให้ถูกเจาะก็ไม่ลุกเป็นไฟ ยิ่งไปกว่านั้น กราฟีนออกไซด์ที่ได้จากลีโอเนอร์ไดต์ยังมีโครงสร้างอะตอมที่ดีกว่าแกรไฟต์ที่ใช้ในแบตเตอรี่ทั่วไป ส่งผลให้แบตเตอรี่มีความจุพลังงานสูงขึ้น ใช้งานได้นานขึ้น น้ำหนักเบาลง และเสื่อมสภาพช้าลงอีกด้วย
เวทีเฟ้นหานวัตกร 'Ford Smart Mobility Challenge 2025'
ความสำเร็จของ GRYPHON เกิดขึ้นบนเวทีการแข่งขันอันทรงเกียรติอย่าง "Ford Smart Mobility Challenge 2025" ซึ่งเป็นโครงการที่ฟอร์ด ประเทศไทย ร่วมกับพันธมิตรอย่าง สมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน (PDA), สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) และบริษัท ทีวีบูรพา จำกัด จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 11 โครงการนี้เปิดโอกาสให้เยาวชนไทยทั่วประเทศได้ส่งผลงานนวัตกรรมเข้าประกวดเพื่อชิงทุนพัฒนารวมกว่า 840,000 บาท โดยมุ่งเน้นการพัฒนานวัตกรรมใน 3 มิติหลัก ได้แก่ การเข้าถึงและส่งเสริมความหลากหลาย, ความปลอดภัย และสุขภาพความเป็นอยู่ที่ดี ในปีนี้มีทีมส่งผลงานเข้าประกวดถึง 138 ทีม ก่อนจะคัดเลือกเหลือ 10 ทีมสุดท้ายที่ได้เข้ารับการอบรมพัฒนาทักษะจากผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ เพื่อยกระดับผลงานและเตรียมความพร้อมสำหรับรอบชิงชนะเลิศ
"ฟอร์ด และพันธมิตรในโครงการฯ ขอแสดงความยินดีกับทีมผู้ชนะ และขอชื่นชมทุกทีมที่ผ่านเข้ามาแข่งขันกันในรอบสุดท้ายของโครงการ Ford Smart Mobility Challenge การนำเสนอผลงานของทุกทีมน่าประทับใจและแสดงให้เห็นถึงพลังของเยาวชนในการผสานความรู้ให้เข้ากับความมุ่งมั่นในการยกระดับคุณภาพของชุมชนที่อยู่รอบตัว" เจน ฮอลโลเวย์ ผู้จัดการฟอร์ด ฟิแลนโธรพี ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าว พร้อมย้ำว่า “โครงการ Ford Smart Mobility Challenge ให้ความสำคัญกับการเพิ่มพูนทักษะเยาวชนไทยให้พร้อมปรับตัวกับตลาดงานในอนาคต ควบคู่ไปกับการสนับสนุนเงินทุนเพื่อให้แนวคิดนวัตกรรมได้รับการต่อยอดใช้ได้จริง จึงได้ผสานจุดแข็งของพันธมิตรในการส่งมอบความรู้และประสบการณ์อันเป็นการเรียนรู้ที่นำไปใช้ได้จริงในระยะยาวแก่เยาวชนที่เข้าร่วม และหวังว่าทั้ง 10 ทีมสุดท้ายในปีนี้ จะได้รับประสบการณ์ทั้งความรู้และการลงมือปฏิบัติจากโครงการฯ เพื่อนำไปขับเคลื่อนคุณประโยชน์ต่อสังคมและเป็นแรงบันดาลใจในเยาวชนไทยต่อไป”
ผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
ความสำเร็จของ GRYPHON กำลังสร้างแรงกระเพื่อมที่ยิ่งใหญ่ในหลายมิติ ในเชิงเศรษฐกิจ นวัตกรรมนี้ช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้ากราไฟต์และกราฟีนออกไซด์ที่ประเทศไทยต้องนำเข้าปีละกว่า 1,000 ตัน และเป็นการสร้างอุตสาหกรรมวัสดุพลังงานใหม่ในประเทศโดยใช้วัตถุดิบในประเทศ 100 เปอร์เซ็นต์ ในเชิงสังคมและสิ่งแวดล้อม โครงการนี้ช่วยแก้ปัญหาขยะล้นเหมือง ลดค่าใช้จ่ายในการฝังกลบ และที่สำคัญคือช่วยลดปัญหามลพิษทางอากาศ สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับชุมชนรอบเหมืองแม่เมาะ ทั้งหมดนี้สอดรับกับโมเดลเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ได้อย่างสมบูรณ์แบบ เปลี่ยนของเสียให้เป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง และสร้างอนาคตที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง







