ส่องมาตรการ "บล็อกสัญญาณชายแดน" คุมเข้มอาชญากรรมไซเบอร์ได้จริงหรือ?

กสทช. เปิดยุทธการ “ปิดชายแดนดิจิทัล” ใช้เทคนิคจำกัดรัศมีสัญญาณ–ติดไฟร์วอลล์ SMS สกัดสแกมเมอร์ข้ามชาติ ท่ามกลางคำถามว่า มาตรการเทคนิคจะเอาอยู่หรือไม่ เมื่อเครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์ขยายตัวเร็วกว่าโครงสร้างกำกับของรัฐ
KEY
POINTS
- กสทช. ประกาศใช้มาตรการเข้มงวดในการควบคุมสัญญาณโทรศัพท์บริเวณชายแดน เพื่อป้องกันไม่ให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์และสแกมเมอร์ข้ามชาติใช้สัญญาณจากฝั่งไทยในการก่ออาชญากรรม
- สั่งให้ผู้ให้บริการโทรคมนาคมใช้เทคนิค "Cell Radius" เพื่อจำกัดรัศมีการให้บริการของเสาสัญญาณไม่ให้ล้ำข้ามพรมแดน โดยไม่ต้องลดความสูงของเสาและไม่กระทบคุณภาพบริการของคนในพื้นที่
- ผู้ให้บริการต้องตรวจสอบคู่สัญญาหรือผู้ใช้งานที่น่าสงสัย หากพบความผิดปกติให้ระงับบริการทันที และห้ามนำ IP Address ที่จดทะเบียนในไทยไปให้บริการในต่างประเทศโดยเด็ดขาด
- เพิ่มมาตรการคัดกรอง SMS จากต่างประเทศ โดยให้ผู้ให้บริการติดตั้งระบบ "SMS Firewall" และแสดงสัญลักษณ์เตือน เช่น เครื่องหมาย (!) เพื่อให้ประชาชนระวัง
ในห้วงเวลาที่อาชญากรรมทางเทคโนโลยีกลายเป็นภัยข้ามพรมแดนที่สร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ สำนักงาน กสทช. จึงประกาศเดินหน้า “มาตรการเข้ม” ควบคุมสัญญาณโทรศัพท์บริเวณชายแดนและตรวจสอบเส้นทางการสื่อสารดิจิทัลอย่างละเอียด เพื่อป้องกันการถูกนำไปใช้ในกิจกรรมผิดกฎหมายของแก๊งคอลเซ็นเตอร์และขบวนการสแกมเมอร์ข้ามชาติ
นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รองเลขาธิการ รักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. เปิดเผยว่า ได้เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ได้สั่งการให้ กสทช. กำชับผู้ให้บริการโทรคมนาคมห้ามนำโครงข่ายโทรศัพท์หรืออินเทอร์เน็ตไปใช้ในทางมิชอบทั้งทางตรงและทางอ้อม
กสทช. จึงเรียกผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมเข้าประชุมเร่งด่วน เพื่อย้ำแนวทางปฏิบัติที่ต้องถือเป็น “คำสั่งภาคบังคับ” ใน 3 ประเด็นหลัก ได้แก่
1. คุมเข้มเสาสัญญาณชายแดนด้วยเทคนิค Cell Radius ผู้ให้บริการต้องควบคุมรัศมีการให้บริการ (Cell Radius) ไม่ให้สัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ล้ำข้ามพรมแดน ซึ่งถือเป็นแนวทางใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีกำหนดขอบเขตทางภูมิศาสตร์ของสัญญาณโดยไม่ต้องลดความสูงของเสาสัญญาณ
ทั้งยังคงคุณภาพการให้บริการในพื้นที่ชายแดน เพื่อไม่ให้ประชาชนได้รับผลกระทบ ขณะเดียวกันจะช่วยปิดช่องทางที่แก๊งอาชญากรจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะบริเวณชายแดนกัมพูชา ใช้สัญญาณจากฝั่งไทยก่ออาชญากรรมได้อีกต่อไป
2. ตรวจสอบคู่สัญญาเสี่ยง–หยุดบริการทันที สำนักงาน กสทช. สั่งให้ผู้ให้บริการโทรคมนาคมเร่งตรวจสอบคู่สัญญาหรือผู้ใช้งานที่มีพฤติกรรมต้องสงสัย หากพบความผิดปกติให้ระงับบริการและรายงาน กสทช. เพื่อขยายผลสืบสวนทันที หากเพิกเฉยจะถือว่ามีส่วนร่วมในการกระทำผิดตามมาตรา 4/1 แห่งพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566
3. ห้ามนำ IP Address ไทยให้บริการในต่างประเทศ เพื่อป้องกันการปลอมแปลงเส้นทางเชื่อมต่อระหว่างประเทศ ผู้รับใบอนุญาตห้ามนำ IP Address ที่จดทะเบียนในประเทศไทยไปให้บริการในต่างประเทศโดยเด็ดขาด
ปัญหาอาชญากรรมไซเบอร์เป็นเรื่องที่รัฐบาลให้ความสำคัญอย่างสูง เพราะกระทบทั้งความมั่นคงของรัฐและความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ การใช้เทคนิคจำกัดสัญญาณจึงเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ดิจิทัลเพื่อความมั่นคง เพื่อปกป้องประชาชนจากการถูกหลอกลวงออนไลน์
คุมเข้ม “SMS ต่างประเทศ”–ติดสัญลักษณ์เตือน ป้องกันประชาชนตกเป็นเหยื่อ
ด้านการสื่อสารผ่าน ข้อความ SMS ซึ่งยังคงเป็นช่องทางหลักของกลโกงออนไลน์ กสทช. ได้เรียกประชุมคณะอนุกรรมการบูรณาการบังคับใช้กฎหมายความผิดทางเทคโนโลยีโทรคมนาคมฯ ครั้งที่ 8/2568 เมื่อวันที่ 17 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยมี พล.ต.อ.ณัฐธร เพราะสุนทร กสทช.ด้านกฎหมาย เป็นประธาน เพื่อพิจารณามาตรการใหม่ในการคัดกรอง SMS ที่ส่งจากต่างประเทศ
ภายใต้มาตรการใหม่นี้ ผู้ให้บริการทุกเครือข่ายจะต้องติดตั้งระบบ “SMS Firewall” เพื่อกรองและระงับข้อความที่ต้องสงสัยก่อนส่งต่อถึงผู้ใช้บริการ พร้อมแสดง สัญลักษณ์แจ้งเตือนเช่นเครื่องหมายอัศเจรีย์ (!) เมื่อพบว่าเป็นข้อความจากต่างประเทศ เพื่อให้ประชาชนระวังการกดลิงก์หรือให้ข้อมูลส่วนตัว
พล.ต.อ.ณัฐธร ระบุว่า หลังการบังคับใช้พระราชกำหนดอาชญากรรมทางเทคโนโลยีฯ เมื่อวันที่ 30 ส.ค.ที่ผ่านมา พบว่าปริมาณการโทรหลอกลวงลดลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ SMS หลอกลวงจากต่างประเทศกลับเพิ่มขึ้นเฉลี่ย มากกว่า 1 ล้านข้อความต่อวัน กสทช. จึงต้องเร่งบูรณาการร่วมกับผู้ให้บริการและหน่วยงานด้านการเงิน เพื่อปิดช่องโหว่การส่งข้อความข้ามเครือข่ายและข้ามประเทศ
มาตรการของ กสทช. ในครั้งนี้สะท้อนถึง “การเคลื่อนไหวเชิงยุทธศาสตร์” ที่สอดรับกับแนวนโยบายของรัฐบาลในการยกระดับความมั่นคงทางดิจิทัล ควบคู่กับการรักษาความเชื่อมั่นของประชาชนในระบบเศรษฐกิจดิจิทัลไทย โดยเฉพาะในช่วงที่ประเทศกำลังเร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานข้อมูล (Data Economy) และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy)
การป้องกันและสกัดอาชญากรรมออนไลน์จึงไม่ใช่เพียงเรื่องความปลอดภัยของประชาชน แต่ยังเป็น “กลไกป้องกันเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติ” ที่ต้องดำเนินการอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง







