'ดาต้าเซ็นเตอร์' สมรภูมิกลยุทธ์ เปิดทางไทยสู่แผนที่ AI โลก

ขณะนี้ประเทศไทยกำลังยืนอยู่บนจุดเปลี่ยนสำคัญของการก้าวสู่ยุคดิจิทัล การมีโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมจะทำให้มีความสามารถในการขับเคลื่อนนวัตกรรม AI พร้อมรักษาความยั่งยืน ด้านพลังงานไปพร้อมกัน
KEY
POINTS
- ประเทศไทยมีศักยภาพสูงในการเป็นศูนย์กลาง AI ของภูมิภาค
- กรุงเทพฯ เป็นตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ที่เติบโตเร็วที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
- มีการคาดการณ์ว่าจะมีการลงทุนใหม่สูงถึง 2 แสนล้านบาทใน 5 ปีข้างหน้า เพื่อรองรับการเติบโตของ AI
- การประมวลผล AI ใช้พลังงานมหาศาลและสร้างความร้อนสูง ซึ่งเป็นความท้าทายสำคัญต่อโครงสร้างพื้นฐาน
- เทคโนโลยี 'Liquid Cooling' คือ 'Game Changer' ของตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ประเทศไทย
AI กำลังเปลี่ยนโลกในหลากหลายมิติ...
ท่ามกลางการแข่งขันเพื่อก้าวไปเป็นศูนย์กลางนวัตกรรม AI คำถามที่เกิดขึ้นจึงไม่ใช่แค่ “AI จะมาเปลี่ยนทุกอุตสาหกรรมได้จริงหรือ?” แต่ที่น่าจับตามองคือ "ประเทศใดที่จะมีโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง?"
ทิวา เพ็ชรรัตน์ รองประธานบริหารฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เอสที เทเลมีเดีย โกลบอล ดาต้าเซ็นเตอร์ (ประเทศไทย) เปิดมุมมองว่า สำหรับประเทศไทยนี่คือโอกาสสำคัญที่จะพลาดไม่ได้ โอกาสที่จะใช้จุดแข็งที่มีอยู่ ผลักดันตนเองให้ก้าวไปสู่เป้าหมายอันดับหนึ่งของอาเซียน ด้วยการเป็นผู้นำโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลหลักของ AI
ขณะนี้ประเทศไทยกำลังยืนอยู่บนจุดเปลี่ยนสำคัญของการก้าวสู่ยุคดิจิทัล มีดาต้าเซ็นเตอร์ที่ให้บริการอยู่มากกว่า 55 แห่ง ทั้งยังมีความได้เปรียบด้านทำเลที่ตั้งซึ่งอยู่ใจกลางอาเซียน, เครือข่ายเคเบิลใต้น้ำที่แข็งแกร่ง และนโยบายส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่พร้อมสนับสนุนการลงทุน
พื้นฐานเหล่านี้ทำให้ฐานรากของเรามีความพร้อมสูงมาก และแข็งแกร่งพอที่จะรองรับความต้องการโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลขั้นสูงที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
สอดคล้องกับข้อมูลจาก DC Byte ที่ระบุว่า กรุงเทพฯ เป็นหนึ่งในตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ที่เติบโตรวดเร็วที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยกำลังไฟฟ้าที่สามารถรองรับไอทีเวิร์กโหลดกว่า 2.5 กิกะวัตต์ ก้าวขึ้นมาเป็นตลาดใหญ่เป็นอันดับสองของภูมิภาครองจากรัฐยะโฮร์ ของมาเลเซีย
ที่น่าสนใจมีการคาดการณ์ว่า ในอีก 5 ปีข้างหน้าจะมีการลงทุนในโครงการใหม่ๆ เพิ่มสูงถึง 2 แสนล้านบาท ซึ่งจะผลักดันให้กำลังการผลิตไฟฟ้าพุ่งไปที่ 500 เมกะวัตต์ หรือมากกว่าสามเท่าของตัวเลขกำลังการผลิตไฟฟ้า ณ ปัจจุบันที่มีอยู่ราว 157 เมกะวัตต์
การเติบโตเหล่านี้ล้วนเป็นฐานสำคัญที่สนับสนุนเป้าหมายของประเทศไทยในการก้าวเป็นศูนย์กลาง AI ของภูมิภาคทั้งในด้านการประมวลผลและนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล
AI ขุมพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
ปัจจุบัน AI ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่ในห้องแล็บอีกต่อไป วันนี้ AI เปลี่ยนชีวิตประจำวันและปรับโฉม เพิ่มประสิทธิภาพให้กับอุตสาหกรรมทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นระบบการเงิน, โลจิสติกส์, การวินิจฉัยโรค ไปจนถึงการผลิตชั้นสูง AI กำลังผลักดันความต้องการพลังงานสำหรับการประมวลผลให้สูงขึ้นไปสู่ระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน
สิ่งเหล่านี้สร้างความท้าทายทั้งเรื่องการใช้พลังงานและความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน แต่ในขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้กับประเทศที่สามารถสร้างไฮเปอร์สเกลดาต้าเซ็นเตอร์ที่แข็งแกร่งและมีความพร้อมรับอนาคตได้
อย่างไรก็ดี การประมวลผล AI ต้องใช้พลังงานมหาศาล ซึ่งแร็ค (Rack) เซิร์ฟเวอร์ AI ประสิทธิภาพสูงเพียงแร็คเดียวสามารถใช้ไฟฟ้าได้มากกว่า 30 กิโลวัตต์ เทียบได้กับการใช้ไฟฟ้าของบ้านเรือน 30-50 หลังคาเรือน และในอนาคตตัวเลขนี้อาจพุ่งไปที่ 100 กิโลวัตต์ต่อแร็ค
เกิดเป็นความท้าทายด้านพลังงานและความร้อนที่เกิดจาก AI ที่ต้องเตรียมรับมือ
ทำไม ‘Liquid Cooling’ จึงสำคัญ
ทิวาวิเคราะห์ว่า การใช้พลังงานระดับนี้สร้างความร้อนมหาศาล และโดยเฉพาะท่ามกลางสภาพอากาศร้อนชื้นอย่างประเทศไทยยิ่งเป็นความท้าทาย ซึ่งระบบระบายความร้อนด้วยอากาศแบบเดิมถึงขีดจำกัด และจำเป็นต้องหาเทคโนโลยีใหม่ๆ มาจัดการ
การ์ทเนอร์ ยกให้เทคโนโลยี "Liquid-Cooled” เป็นหนึ่งในเทรนด์สำคัญที่กำลังเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ด้านโครงสร้างพื้นฐานในปี 2568 ตอกย้ำว่าเทคโนโลยีนี้จะมีบทบาทสำคัญในดาต้าเซ็นเตอร์ยุคใหม่แน่นอน
เทคโนโลยีระบายความร้อนด้วยของเหลวจะทำหน้าที่ดูดซับความร้อนจากตัวชิปประมวลผลได้โดยตรงด้วยของเหลวพิเศษ ซึ่งมีประสิทธิภาพในการถ่ายเทความร้อนสูงกว่าระบบระบายความร้อนด้วยอากาศแบบดั้งเดิมถึง 1,000 เท่า รองรับการประมวลผล AI ที่สร้างความร้อนสูง โดยใช้ของเหลวน้อยกว่าเมื่อเทียบกับระบบทำความเย็นแบบเดิม และยังยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ด้วยเทคนิคการจัดการอุณหภูมิที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
Liquid Cooling ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีจัดการความร้อนเท่านั้น แต่ยังเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย
จากข้อมูลของ Statista คาดการณ์ว่า ภายในปี 2573 หรืออีก 5 ปีข้างหน้า ความต้องการกำลังไฟฟ้าสำหรับ AI เวิร์กโหลดทั่วโลกเพียงอย่างเดียว จะเพิ่มขึ้นเป็น 156 กิกะวัตต์ หรือเพิ่มขึ้นกว่า 4 เท่าของปี 2568
เปลี่ยนเกม ‘ดาต้าเซ็นเตอร์’
เขากล่าวว่า การมีโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับเทคโนโลยีระบายความร้อนขั้นสูง จะทำให้ประเทศไทยมีความพร้อมในการขับเคลื่อนนวัตกรรม AI พร้อมรักษาความยั่งยืน ด้านพลังงานไปพร้อมกัน
ประสิทธิภาพของ Liquid Cooling ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในโครงสร้างพื้นฐานเพราะหากสามารถทำให้ AI Workload ทำงานได้เต็มสมรรถนะอย่างต่อเนื่องจะเปิดโอกาสให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในหลายภาคส่วน อาทิ เพิ่มประสิทธิภาพการตรวจจับการทุจริต การประเมินความเสี่ยงแบบเรียลไทม์ การตรวจสอบธุรกรรมสำหรับภาคการเงิน หรือภาคการผลิตก็จะเป็นการซ่อมบำรุงร้กษาเชิงคาดการณ์และการควบคุมคุณภาพขั้นสูง หรือในภาคค้าปลีกช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการสินค้าคงคลังอัจฉริยะและเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภค
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคการเกษตรที่สามารถสร้างโมเดลเกษตรแม่นยำ(Precision Farming ) ที่นำเทคโนโลยีมาผสมผสานเพื่อการเกษตรยุคดิจิทัล รวมถึงใช้พยากรณ์อากาศ อีกทั้งในด้านการแพทย์และสาธารณสุขกับการประมวลผลภาพทางการแพทย์ด้วย AI เพื่อการวินิจฉัยที่รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น
สำหรับประเทศไทยแล้วเทคโนโลยีนี้ไม่ใช่แค่การเพื่อปริมาณดาต้าเซ็นเตอร์ให้เร็วขึ้นในตลาด แต่ยังเป็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นกระดูกสันหลังให้กับเศรษฐกิจดิจิทัลยุคใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ที่ทุกอุตสาหกรรมตั้งแต่การเงินจนไปถึงสาธารณสุขใช้ประโยชน์จาก AI ที่ต้องการพลังประมวลผลขั้นสูงได้เต็มศักยภาพ
ในฐานะผู้บุกเบิกเทคโนโลยี Liquid Cooling ในดาต้าเซ็นเตอร์ของไทย STT GDC Thailand มองว่าการลงทุนครั้งนี้คือพันธกิจสำคัญต่ออนาคตของประเทศ เป็นมากกว่านวัตกรรมระบายความร้อน
แต่ยังเป็น “Game Changer” ของอุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งจะช่วยเร่งการขับเคลื่อนการเติบโตของ AI เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันทางเศรษฐกิจ และสร้างการเติบโตให้กับประเทศอย่างยั่งยืน







