ไปให้สุด แล้วหยุดที่ปลอดภัย! NetApp เปิดตัวโซลูชัน AI แรงบวกแกร่ง

บุกเบิกยุค AI อย่างไร้กังวล เมื่อ "NetApp" เปิดตัวแพลตฟอร์มข้อมูลอัจฉริยะ สร้างนวัตกรรมสุดล้ำ พร้อมป้อมปราการป้องกันภัยไซเบอร์ที่แม้แต่แฮกเกอร์ยังต้องคิดหนัก
KEY
POINTS
- NetApp เปิดตัว NetApp AFX ระบบจัดเก็บข้อมูล All-Flash ประสิทธิภาพสูงสำหรับ AI ที่แยกส่วนการประมวลผลและความจุออกจากกันเพื่อรองรับเวิร์กโหลดขนาดใหญ่
- ยกระดับความปลอดภัยด้วย NetApp Ransomware Resilience ที่มาพร้อมความสามารถใหม่ในการใช้ AI ตรวจจับการละเมิดข้อมูล (Data Breach Detection) เป็นรายแรกในวงการสตอเรจ
- ผสานเทคโนโลยีกับ NVIDIA ผ่าน NetApp AI Data Engine (AIDE) เพื่อเร่งกระบวนการเตรียมข้อมูลสำหรับ AI ทำให้ข้อมูลพร้อมใช้งานและเชื่อมโยงกันได้อย่างรวดเร็ว
- นำเสนอโซลูชันที่สร้างสมดุลระหว่างการเร่งพัฒนานวัตกรรม AI และการเสริมความแข็งแกร่งด้านความปลอดภัยข้อมูลไซเบอร์ให้ดำเนินไปพร้อมกัน
ข้อมูลเปรียบเสมือนน้ำมันเชื้อเพลิงของ AI ยิ่งมีมากเท่าไร เครื่องยนต์นวัตกรรมก็ยิ่งวิ่งได้เร็วและไกลขึ้นเท่านั้น แต่ในทางกลับกัน 'บ่อน้ำมัน' ดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุด ก็อาจกลายเป็นเป้าหมายที่ล่อตาล่อใจที่สุดสำหรับอาชญากรไซเบอร์เช่นกัน นี่คือความขัดแย้งสุดคลาสสิกของโลกยุคใหม่ ที่การเดินหน้าสร้างสรรค์นวัตกรรมด้วย AI อย่างเต็มกำลัง อาจหมายถึงการเปิดประตูหลังบ้านต้อนรับภัยคุกคามที่เรามองไม่เห็น แล้วองค์กรจะสร้างสมดุลระหว่าง "การเร่งความเร็ว" กับ "การเสริมความแกร่ง" ได้อย่างไร?
ล่าสุดในงาน INSIGHT 2025 ที่ลาสเวกัส NetApp® (NASDAQ: NTAP) ได้เผยคำตอบที่น่าสนใจ ผ่านการเปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ที่เปรียบเสมือนดาบสองคมที่ทรงพลัง คมหนึ่งคือการปลดล็อกศักยภาพ AI อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และอีกคมหนึ่งคือการสร้างป้อมปราการป้องกันข้อมูลที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก
สร้าง "โรงงาน AI" ยุคใหม่ ด้วย NetApp AFX
เมื่อองค์กรขยับจากการทดลอง AI ในห้องแล็บไปสู่การใช้งานจริงในระดับภารกิจสำคัญ (Mission-Critical) โครงสร้างพื้นฐานแบบเดิมๆ ก็เริ่มแสดงให้เห็นถึงข้อจำกัดคอขวด การประมวลผล AI โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับโมเดลขนาดใหญ่และเทคนิคอย่าง Retrieval Augmented Generation (RAG) ต้องการทั้งความเร็วในการเข้าถึงข้อมูลและความจุที่ขยายได้อย่างไร้ขีดจำกัด ซึ่งมักจะเป็นสิ่งที่สวนทางกัน NetApp ได้ทลายกำแพงนี้ด้วย NetApp AFX ระบบจัดเก็บข้อมูลแบบออลแฟลชที่แยกส่วนการประมวลผลและความจุออกจากกันอย่างสมบูรณ์ แนวคิดนี้เปรียบเสมือนการสร้างโรงงานที่เราขยายสายการผลิต (ประสิทธิภาพ) และขนาดโกดัง (ความจุ) ได้อย่างอิสระ ทำให้องค์กรไม่ต้องลงทุนเกินความจำเป็นและพร้อมรับมือกับเวิร์กโหลด AI ที่เติบโตแบบก้าวกระโดด
หัวใจสำคัญที่ทำงานร่วมกับ AFX คือ NetApp AI Data Engine (AIDE) ซึ่งทำหน้าที่เป็น 'สมอง' ของระบบข้อมูลทั้งหมด มันช่วยให้องค์กรมองเห็น จัดการ และเชื่อมโยงข้อมูลที่กระจัดกระจายอยู่ทั้งในองค์กรและบนคลาวด์ให้กลายเป็นหนึ่งเดียว พร้อมผสานเทคโนโลยีจาก NVIDIA เพื่อเร่งกระบวนการเตรียมข้อมูลสำหรับ AI ตั้งแต่การทำ Vectorization ไปจนถึง Semantic Search ที่รวดเร็วและชาญฉลาด ทำให้ข้อมูลพร้อมใช้งานสำหรับ AI ในทันที
Syam Nair ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตภัณฑ์ของ NetApp กล่าวว่า “ด้วยระบบ NetApp AFX รุ่นใหม่ ลูกค้าจะมีทางเลือกที่เชื่อถือได้และได้รับการพิสูจน์แล้วสำหรับการจัดเก็บข้อมูลระดับองค์กรภายในพื้นที่ของตน ซึ่งสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์มข้อมูลที่ครบวงจร พร้อมช่วยขับเคลื่อนนวัตกรรม AI ได้อย่างรวดเร็ว” เขายังเสริมอีกว่า “NetApp AI Data Engine ช่วยให้ลูกค้าเชื่อมโยงระบบข้อมูลทั้งหมดขององค์กรได้อย่างราบรื่นทั้งในสภาพแวดล้อมแบบไฮบริดและมัลติคลาวด์ เพื่อสร้างฐานข้อมูลที่เป็นหนึ่งเดียว และเมื่อเป็นดังนั้นแล้ว องค์กรก็จะเร่งความเร็วของกระบวนการทำงานด้านข้อมูล AI ได้อย่างมหาศาล”
ด้าน Justin Boitano รองประธานฝ่ายผลิตภัณฑ์ Enterprise AI ของ NVIDIA ได้ตอกย้ำถึงความร่วมมือครั้งนี้ว่า “องค์กรกำลังมองหาฐานข้อมูลที่เชื่อถือได้และมีประสิทธิภาพสูง เพื่อเปลี่ยนข้อมูลจำนวนมหาศาลให้กลายเป็นความรู้ที่นำไปใช้กับ AI ได้” และเสริมว่า “NetApp ได้พัฒนาแพลตฟอร์มข้อมูลของตนให้กลายเป็น AI-native storage platform ด้วยการรวมเทคโนโลยีการประมวลผลความเร็วสูงและซอฟต์แวร์ของ NVIDIA รวมถึงโมเดล AI ชั้นนำต่าง ๆ ทำให้องค์กรจัดทำดัชนีและค้นหาข้อมูลไม่มีโครงสร้างจำนวนมากทั่วทั้งองค์กร เพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมและผลลัพธ์เชิงธุรกิจอย่างแท้จริง”
เกราะป้องกันใหม่ในสงครามไซเบอร์
ในขณะที่ AI สร้างโอกาสมหาศาล มันก็เปิดช่องโหว่ให้กับการโจมตีทางไซเบอร์ที่ซับซ้อนขึ้นเช่นกัน แฮกเกอร์ไม่ได้ต้องการแค่เรียกค่าไถ่จากการเข้ารหัสข้อมูล (Ransomware) อีกต่อไป แต่ยังขโมยข้อมูลสำคัญเพื่อขู่กรรโชกซ้ำซ้อน (Double Extortion) NetApp ตระหนักดีว่าพื้นที่จัดเก็บข้อมูลคือปราการด่านสุดท้าย และอาจเป็นด่านแรกในการป้องกัน จึงได้ยกระดับบริการ NetApp Ransomware Resilience ขึ้นไปอีกขั้น
นวัตกรรมที่น่าจับตามองที่สุดคือ การตรวจจับการละเมิดข้อมูล (Data Breach Detection) ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของวงการสตอเรจระดับองค์กร โดยใช้ AI ตรวจจับพฤติกรรมที่ผิดปกติของผู้ใช้งาน ซึ่งเป็นสัญญาณเริ่มต้นของการพยายามขโมยข้อมูล เปรียบเสมือนการมี รปภ. อัจฉริยะที่คอยสอดส่องและแจ้งเตือนทันทีเมื่อมีคนพยายามจะลักลอบขนของออกจากโกดังข้อมูล ก่อนที่ความเสียหายจะบานปลาย
Gagan Gulati รองประธานอาวุโสและผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายบริการข้อมูลของเน็ตแอพ ให้ความเห็นว่า “การปกป้องข้อมูลจากภัยคุกคามทางไซเบอร์อย่างมีประสิทธิภาพเริ่มต้นจากการตรวจจับการโจมตีได้ตั้งแต่ช่วงต้น เพื่อให้ตอบสนองและรับมือได้อย่างทันท่วงที ความสามารถใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ของเราถูกพัฒนาขึ้นเพื่อตรวจจับสัญญาณบ่งชี้เบื้องต้นของความพยายามขโมยข้อมูล ซึ่งต่อยอดจากเทคโนโลยีชั้นนำเดิมในการตรวจจับแรนซัมแวร์”
นอกจากนี้ NetApp ยังได้เปิดตัว สภาพแวดล้อมการกู้คืนแบบแยกส่วน (Isolated Recovery Environments) ซึ่งช่วยให้องค์กรกู้คืนข้อมูลและเวิร์กโหลดได้อย่างรวดเร็วและมั่นใจ ว่าข้อมูลที่นำกลับมาใช้งานนั้นปลอดจากมัลแวร์ 100 เปอร์เซ็นต์ ป้องกันการติดเชื้อซ้ำซ้อนได้อย่างเด็ดขาด
Philip Bues ผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายวิจัยฯ ของ IDC กล่าวว่า “เมื่อผู้ไม่ประสงค์ดียังคงพัฒนาวิธีการโจมตี รวมถึงเทคนิค double extortion ในรูปแบบแรนซัมแวร์ ความสามารถใหม่ของเน็ตแอพในการตรวจจับการละเมิดข้อมูลแสดงให้เห็นว่า บริษัทปรับตัวทันต่อสถานการณ์ และช่วยให้องค์กรได้รับสัญญาณเตือนล่วงหน้า”
AI ขับเคลื่อน Thailand 4.0
สำหรับประเทศไทย บริบทของการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลภายใต้โมเดล Thailand 4.0 ทำให้ AI กลายเป็นวาระแห่งชาติ องค์กรไทยต่างเร่งนำ AI มาปรับใช้เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน แต่ความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีรากฐานข้อมูลที่แข็งแกร่งและปลอดภัย
Andrew Sotiropoulos รองประธานอาวุโสและผู้จัดการทั่วไป ของ NetApp Asia Pacific ชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มสำคัญว่า “หนึ่งในแนวโน้มสำคัญคือการเปลี่ยนจากการจัดเก็บข้อมูลแบบนิ่งไปสู่การจัดการข้อมูลเชิงรุก ซึ่งก็คือการดึงข้อมูล ประมวลผล และคัดสรรข้อมูลเพื่อเปิดเผยข้อมูลเชิงลึก การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้พวกเขาจำเป็นต้องใช้ข้อมูลและสถาปัตยกรรมที่จะช่วยทำลายข้อจำกัดแบบเดิมๆ”
ทางด้าน อรรณพ วาดิถี ผู้จัดการเน็ตแอพ ประจำประเทศไทย ได้กล่าวเสริมถึงมุมมองในประเทศว่า “ความต้องการในการพัฒนาด้านดิจิทัลของประเทศไทยภายใต้กรอบแนวคิด Thailand 4.0 ทำให้ AI กลายเป็นวาระแห่งชาติ และเมื่อองค์กรต่างๆ มุ่งขยายการใช้งาน AI ครอบคลุมทุกภาคส่วน ความสำเร็จก็จะขึ้นอยู่กับการมีข้อมูลที่ปลอดภัยและรวมศูนย์”
เขายังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการป้องกันว่า “บริการ NetApp Ransomware Resilience ไม่ได้เป็นเพียงการป้องกัน แต่ยังช่วยเสริมศักยภาพให้องค์กรกู้คืนระบบได้อย่างรวดเร็วและสมบูรณ์แบบโดยไม่มีข้อบกพร่อง นี่คือแนวทางที่เราช่วยสนับสนุนองค์กรไทยในการปกป้องชื่อเสียงองค์กร สร้างความต่อเนื่องทางธุรกิจ และความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างยั่งยืน”
จากการเปิดตัวครั้งสำคัญของ NetApp เราจึงได้เห็นว่า การสร้างนวัตกรรม AI และการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ไม่ใช่เรื่องที่ต้องเลือก แต่เป็นสองสิ่งที่ต้องทำควบคู่กันไปในระดับสูงสุด เพื่อให้องค์กรพุ่งทะยานไปในยุคแห่ง AI ได้อย่างมั่นใจและยั่งยืน







