ดีอีจ่อเปิดศึก 'สงครามไซเบอร์' ขยายอำนาจสกัดแก๊งสแกมเมอร์ พร้อมตั้งหน่วยพิเศษรบเชิงรุก

ดีอีจ่อเปิดศึก 'สงครามไซเบอร์' ขยายอำนาจสกัดแก๊งสแกมเมอร์ พร้อมตั้งหน่วยพิเศษรบเชิงรุก

กระทรวงดีอีเดินหน้ามาตรการเชิงรุกหลังรับข้อสั่งการรัฐบาล ตั้งโต๊ะปรับกฎหมาย พร้อมวางระบบเชื่อมโยงข้อมูลเรียลไทม์ — เป้าหมายตัดวงจรแก๊งสแกมเมอร์ที่ปฏิบัติการจากต่างประเทศ

KEY

POINTS

  • กระทรวงดีอีประกาศเปลี่ยนยุทธศาสตร์จากการตั้งรับเป็นการ "รบเชิงรุก" เต็มรูปแบบ เพื่อต่อสู้แก๊งสแกมเมอร์
  • มีแผนจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจลักษณะเดียวกับ Cyber Fraud Agency ในต่างประเทศ เพื่อเป็นหน่วยปฏิบัติการพิเศษในการปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์
  • เตรียมแก้ไข พ.ร.ก. ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เพื่อขยายอำนาจให้หน่วยงานสามารถเข้าถึงข้อมูลได้โดยตรง
  • พิจารณาแนวทางการใช้ "White Hacker" ในการโจมตีเชิงรุกเพื่อทำลายโครงสร้างของแก๊งสแกมเมอร์ที่ตั้งฐานปฏิบัติการในต่างประเทศ
  • จะดำเนินการผ่าน 3 แนวทางหลัก ได้แก่ การตัดวงจร, การบูรณาการข้อมูลแบบเรียลไทม์ และการปรับแก้กฎหมาย พร้อมเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ

นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) แถลงถึงทิศทางการขับเคลื่อนมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ว่า กระทรวงฯ จะเปลี่ยนจากรับมือเชิงรุกเป็นเชิงรุกเต็มรูปแบบ โดยมีแผนดำเนินการหลายด้านทั้งด้านกฎหมาย เทคโนโลยี และการประสานงานข้ามหน่วยงาน

ภายใน 1-2 เดือนนี้ กระทรวงดีอีจะปรับปรุงกฎหมายสำคัญอย่างพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 ให้สามารถตอบโต้ภัยไซเบอร์ได้ทันสถานการณ์

หนึ่งในแนวทางสำคัญคือ การเตรียมปรับปรุงกรอบกฎหมายเพื่อเปิดทางให้มีการจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจลักษณะเดียวกับ Cyber Fraud Agency ในต่างประเทศ โดยอาจทำผ่านการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดมาตรการป้องกัน และปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เพื่อให้มีกลไกกำกับ และบูรณาการ การปราบปรามระหว่างรัฐ และเอกชนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

นายไชยชนก ระบุว่า การดำเนินการเชิงรุกอาจรวมถึงการใช้   White Hacker หรือแฮ็กเกอร์ผู้มีจริยธรรม ทำงานเชิงรุกเพื่อสกัดหรือทำลายโครงสร้างการปฏิบัติการของแก๊งสแกมเมอร์ (compound) ที่ตั้งฐานดำเนินการอยู่นอกประเทศ แต่ย้ำว่าประเด็นดังกล่าวมีความอ่อนไหวสูง จึงอยู่ระหว่างการศึกษา ออกแบบกรอบกฎหมาย และพิจารณาขอบเขตการปฏิบัติให้สอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศ และมาตรฐานสิทธิมนุษยชน

“การดำเนินการทางไซเบอร์ไม่มีพรมแดน แต่ก็มีความอ่อนไหวอยู่มาก ซึ่งกำลังอยู่ในการศึกษา และออกแบบกฎหมายให้เหมาะสม เพราะเราไม่ไหวแล้ว ต้องโจมตีเชิงรุก” รัฐมนตรี กล่าว พร้อมยืนยันว่าทุกมาตรการต้องพิจารณาเรื่องความชอบด้วยกฎหมาย และผลกระทบต่อผู้บริสุทธิ์อย่างรอบคอบ

 

 

 

 

อย่างไรก็ดี จากโครงสร้างกฎหมายเดิมยังจำกัดสิทธิในการเข้าถึงข้อมูล ต้องรอให้เกิดความเสียหายแล้วจึงเริ่มกระบวนการสืบสวน แต่ในเวอร์ชันใหม่ของ พ.ร.ก. นั้น ดีอีจะขออำนาจให้สามารถใช้ฐานข้อมูลจากโอเปอเรเตอร์ และธนาคาร มาครอสกับ IP Address ที่เกี่ยวข้องกับแหล่งก่ออาชญากรรมไซเบอร์ หากพบข้อมูลยืนยันชัด หน่วยเฉพาะกิจที่จัดตั้งขึ้นจะมีอำนาจเข้าทำการตอบโต้เฉพาะจุด เช่น โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่ใช้สนับสนุนการฉ้อโกงออนไลน์

ข้อสั่งการ 3 แนวทาง — ตัดวงจร แก้กฎหมาย เชื่อมข้อมูลเรียลไทม์

ตามที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ย้ำแนวทางการปราบสแกมผ่านคำสั่งมอบหมายให้กระทรวงดีอีเร่งดำเนินการเชิงรุก โดยแบ่งเป็น 3 แนวทางหลัก ได้แก่

1. มาตรการเชิงรุก — ตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ต และโทรศัพท์เคลื่อนที่เมื่อมีหลักฐานชัดเจน พร้อมลงโทษผู้เกี่ยวข้องอย่างเด็ดขาดเพื่อตัดวงจรการกระทำผิด และลดความเสียหายแก่ประชาชน

2. การบูรณาการข้อมูล — กระทรวงฯ จะเร่งเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกัน และปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ศปอท./AOC 1441) ตำรวจกองบังคับการต่างๆ หน่วยงานความมั่นคงไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) และภาคเอกชน เพื่อสร้างฐานข้อมูลกลางแบบเรียลไทม์ วิเคราะห์พยากรณ์แนวโน้ม ปิดเส้นทางการเงินผู้กระทำผิด และเร่งคืนเงินให้ผู้เสียหาย ผลลัพธ์จะถูกแสดงผ่านแดชบอร์ดเตือนภัยประชาชนและสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

3. ปรับกรอบกฎหมาย — ศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้ง Cyber Fraud Agency หรือหน่วยงานเฉพาะด้าน เพื่อทำหน้าที่กำกับ บูรณาการ และเพิ่มบทลงโทษให้มีความรุนแรง และครอบคลุมมากขึ้น ทั้งนี้การปรับปรุงกฎหมายจะครอบคลุมทั้งมาตรการป้องกัน การสืบสวน และการบังคับใช้ให้ทันต่อเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว

 

ความท้าทายด้านกฎหมาย และความร่วมมือระหว่างประเทศ

นักกฎหมาย และผู้เชี่ยวชาญด้านไซเบอร์เตือนว่าก้าวข้ามพรมแดนด้วยมาตรการเชิงรุก เช่น การ “แฮ็กกลับ” หรือการตอบโต้ในระบบเครือข่าย อาจเสี่ยงต่อการละเมิดอธิปไตยของรัฐอื่น และกระทบต่อกรอบกฎหมายระหว่างประเทศ จึงจำเป็นต้องมีข้อกำหนดชัดเจนในเรื่องอำนาจ การควบคุมความเสี่ยง การรับผิดชอบ และมาตรการตรวจสอบถ่วงดุล

ด้านเศรษฐกิจ การระบาดของแก๊งสแกม และภัยไซเบอร์ส่งผลโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ระบบการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ และต้นทุนการดำเนินธุรกิจของภาคเอกชน การยกระดับการป้องกันจึงไม่เพียงเป็นเรื่องความมั่นคง แต่เป็นเครื่องมือสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ

ขณะเดียวกัน นายไชยชนก ยังกล่าวถึงการเตรียมร่วมลงนามในอนุสัญญาระหว่างประเทศ Anti-Scam Convention ที่เวียดนามในปลายเดือนต.ค.68 โดยประเทศไทยจะใช้โอกาสนี้นำเสนอแนวทางใหม่ของการปรับปรุง พ.ร.ก. เพื่อสะท้อนเจตนารมณ์ว่าพร้อมเดินหน้าตอบโต้ภัยคุกคามข้ามพรมแดนอย่างจริงจัง ทั้งนี้ หลังลงนาม ประเทศไทยจะต้องดำเนินการแสดงสัตยาบัน และปรับกฎหมายหลายฉบับที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถบังคับใช้ได้จริง หากประเทศสมาชิกครบ 40 ประเทศ

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์