‘เติบโตไปด้วยกัน’ สร้างอีโคซิสเต็ม เสริมแกร่งให้ธุรกิจ

ปัจจุบันความสำเร็จของธุรกิจไม่ได้ถูกวัดด้วย “ยอดขาย” หรือ “กำไร” เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่ยังสะท้อนผ่านผลกระทบเชิงบวก (Positive Impact) ที่องค์กรสร้างขึ้นให้ผู้คนและชุมชนที่อยู่รอบข้างหลายภาคส่วน
KEY
POINTS
- ธุรกิจยุคใหม่ให้ความสำคัญกับการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและชุมชน ควบคู่ไปกับการสร้างกำไร เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน
- กรณีศึกษาจาก ดอยตุง, เนสท์เล่ และแกร็บ แสดงให้เห็นถึงการสร้างอีโคซิสเต็มที่แข็งแกร่งผ่านการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนและคู่ค้า
- กลยุทธ์ "โตไปด้วยกัน" โดยมี "ผู้คน" เป็นศูนย์กลาง ช่วยสร้างความเชื่อมั่นและเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจในระยะยาว
ปัจจุบันความสำเร็จของธุรกิจไม่ได้ถูกวัดด้วย “ยอดขาย” หรือ “กำไร” เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่ยังสะท้อนผ่านผลกระทบเชิงบวก (Positive Impact) ที่องค์กรสร้างขึ้นให้ผู้คนและชุมชนที่อยู่รอบข้างหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็น นักลงทุน ผู้บริโภค หรือแม้แต่พนักงาน ล้วนคาดหวังให้องค์กรเป็นมากกว่าผู้ผลิตสินค้าและผู้ให้บริการ แต่ยังต้องมีส่วนในการพัฒนาและสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนและสังคม
ทำให้เราได้เห็นหลายองค์กรในหลายธุรกิจ ผนวกการส่งเสริมการมีส่วนร่วม การยกระดับชุมชน และการสร้างโอกาสเข้าถึงแหล่งรายได้ เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่น สร้างความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจ และสร้างการเติบโตในระยะยาวให้กับองค์กร
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในประเทศไทย คือ ดอยตุง (DoiTung) แบรนด์ธุรกิจเพื่อสังคม ที่วางรากฐานของธุรกิจจากความมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้กับคนชุมชน โดยได้แบ่งธุรกิจเป็น 5 ด้าน ได้แก่ การแปรรูปอาหาร (กาแฟและแมคคาเดเมีย) งานหัตถกรรม ร้านกาแฟ (คาเฟ่ดอยตุง) การท่องเที่ยว และการเกษตร โดยแบรนด์ได้ทำงานและพัฒนาสินค้าร่วมกับคนในชุมชนอย่างใกล้ชิด และมีการจ้างงานพนักงานกว่า 70% จากชาวบ้านในพื้นที่
ดอยตุง ไม่เพียงยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างรายได้ที่มั่นคงให้คนในพื้นที่ดอย เพื่อทดแทนการปลูกพืชเสพติดเดิม แต่ยังต่อยอดภูมิปัญญาดั้งเดิม ผ่านการพัฒนาร่วมกันกับนักออกแบบและผู้เชี่ยวชาญ เสริมสร้างทักษะชีวิตและความภาคภูมิใจที่ผู้คนสามารถผลิตสินค้าที่มีคุณภาพระดับโลกได้ด้วยตนเอง อย่างการร่วมมือกับแบรนด์ระดับโลกอย่าง อิเกีย (Ikea) และโอนิซึกะ ไทเกอร์ (Onitsuka Tiger) จนได้รับการยอมรับและรางวัลจากสถาบันทั้งจากในประเทศและนานาชาติ
เรายังได้เห็นแบรนด์ยักษ์ใหญ่ในธุรกิจ FMCG อย่าง เนสท์เล่ (Nestlé) ที่มองว่าการลงทุนเพื่อชุมชนเกษตรกรคือการลงทุนเพื่ออนาคตของธุรกิจอย่างแท้จริง โดยได้ประกาศนโยบาย “Nescafé Plan 2030” ที่ทำงานกับเกษตรกรในกว่า 16 ประเทศเพื่อขับเคลื่อนหลักการเกษตรเชิงฟื้นฟู (Regenerative Agriculture) ซึ่งมุ่งฟื้นฟูสภาพแวดล้อมและสร้างความมั่นคงให้กับครอบครัวของเกษตรกร
โดยในปี 2024 เนสท์เล่ได้ฝึกอบรมเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟไปแล้วกว่า 200,000 คน และเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้ตั้งแต่ 20-40% ต่อกิโลกรัมกาแฟ
สำหรับในประเทศไทย เนสท์เล่ กระจายต้นกล้ากาแฟพันธุ์ดีกว่า 3.6 ล้านต้นให้เกษตรกร และจัดฝึกอบรมเพื่อพัฒนาผู้ประกอบการสวนกาแฟให้เกษตรกรไทยแล้วกว่า 2,000 ราย นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาเกษตรกรรุ่นใหม่และผู้หญิง ผ่านการสนับสนุนการเข้าถึงการฝึกอบรม และแหล่งรายได้ใหม่ๆ
เช่น การปลูกพืชทางเลือกและการสร้างธุรกิจเสริมเพื่อลดความเสี่ยงและสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน สิ่งเหล่านี้ทำให้เนสท์เล่ไม่เพียงมีห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืน แต่ยังสร้างความเชื่อมั่นระหว่างแบรนด์และเกษตรกรเพิ่มขึ้นด้วย
สำหรับ แกร็บ (Grab) การยกระดับคุณภาพชีวิตให้ผู้คน เป็นเป้าหมายดำเนินธุรกิจตั้งแต่แรกต้น โดยเราได้สร้างแพลตฟอร์มที่เปิดโอกาสให้คนทุกเพศ ทุกวัย สามารถเข้ามาหารายได้ผ่านการให้บริการรับ-ส่งผู้โดยสาร หรือส่งอาหาร-สินค้าผ่านแอปพลิเคชัน รวมถึงการสร้างพื้นที่ให้ผู้ประกอบการร้านอาหารและร้านค้าสามารถเข้าถึงผู้บริโภคในวงกว้างผ่านช่องทางออนไลน์ได้
โดยในปี 2024 ที่ผ่านมา คนขับและร้านค้าบนแพลตฟอร์มของแกร็บสามารถสร้างรายได้รวมกว่า 12.8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว 4.2 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% จากปีก่อนหน้า รวมทั้งยังมีผู้ประกอบการรายย่อยหน้าใหม่กว่า 600,000 รายที่เข้าร่วมบนแพลตฟอร์ม
นอกจากนี้ เพื่อช่วยเสริมสภาพคล่องให้กับคนขับและผู้ประกอบการรายย่อย ซึ่งถือเป็นกลุ่มที่ไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินในระบบ (Underbanked) แกร็บยังได้ปล่อยสินเชื่อรวมมูลค่ากว่า 2.2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 7.2 หมื่นล้านบาท
สิ่งเหล่านี้ช่วยตอกย้ำวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นของแกร็บในการเป็นแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ช่วยสร้างรายได้ เปิดโอกาสทางเศรษฐกิจ และสร้างความมั่นคงให้กับผู้คนนับล้านในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ในโลกธุรกิจปัจจุบัน การยกระดับชีวิตของผู้คนและพัฒนาชุมชนได้กลายเป็นหัวใจหลักและเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ที่ช่วยสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน องค์กรที่กล้ากำหนดให้ “ผู้คน” (People) เป็นแกนกลางของการดำเนินงาน ไม่เพียงสร้างความยั่งยืนและความเข้มแข็งให้ธุรกิจ แต่ยังจะได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภครุ่นใหม่ และสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับโลกใบนี้อย่างแท้จริง เพราะท้ายที่สุดแล้ว อนาคตของธุรกิจไม่ได้ขึ้นอยู่กับการเติบโตขององค์กรเพียงลำพัง แต่อยู่ที่การเติบโตไปพร้อมกับผู้คนและชุมชนที่องค์กรกำลังทำงานด้วยอยู่นั่นเอง







