ลุ้นเปิดเสรีขนส่ง-อีคอมเมิร์ซ สกัดผูกขาดตลาด รัฐเร่งก.ม.คืนทางเลือกผู้บริโภค

กมธ.เศรษฐกิจ เร่งผลักดันปรับกฎหมายแข่งขันทางการค้า สกัดพฤติกรรมผูกขาดของแพลตฟอร์มออนไลน์ หลังพบผู้ค้า-ผู้บริโภคถูกบังคับใช้บริการขนส่งรายเดียว หวังคืนสิทธิเลือกให้ประชาชน ขณะที่ “กขค.-ETDA” เดินหน้าร่างกฎหมายลูก เตรียมเปิดเสรีระบบขนส่งอีคอมเมิร์ซภายในปีนี้
KEY
POINTS
- แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซรายใหญ่ถูกร้องเรียนว่าผูกขาดบริการขนส่ง บังคับให้ผู้ค้าและผู้บริโภคใช้บริการในเครือ ทำให้ต้นทุนสูงและขาดทางเลือก
- กมธ. เศรษฐกิจเสนอกฎหมายเปิดเสรีให้ผู้ใช้เลือกขนส่งได้เอง พร้อมเสนอให้ควบคุมราคาและเพิ่มบทลงโทษแพลตฟอร์มที่ผูกขาด
- ETDA เตรียมออกกฎหมายลูก บังคับให้แพลตฟอร์มต้องมีตัวเลือกผู้ให้บริการขนส่งอย่างน้อย 3-5 ราย เพื่อคืนสิทธิให้ผู้บริโภค
- กขค. กำลังเร่งร่างประกาศแนวทางพิจารณาการค้าที่ไม่เป็นธรรมสำหรับธุรกิจแพลตฟอร์ม คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ภายในปี 2568
- เป้าหมายหลักของทุกหน่วยงานคือการคืนทางเลือกให้ผู้บริโภค ลดการผูกขาด และสร้างความเป็นธรรมให้เศรษฐกิจดิจิทัลไทย
ในยุคที่ “เศรษฐกิจดิจิทัล” และ “อีคอมเมิร์ซ” กลายเป็นหัวใจของการค้าขายยุคใหม่ แพลตฟอร์มออนไลน์ขนาดใหญ่เข้ามามีบทบาทอย่างมหาศาลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคไทย แต่ในขณะที่เทคโนโลยีเปิดโอกาสให้ผู้คนเข้าถึงตลาดโลกได้ง่ายขึ้น กลับปรากฏ “เงื่อนไขทางธุรกิจ” ที่กำลังบีบรัดผู้ค้าและผู้บริโภคให้ตกอยู่ในกับดักของ “การผูกขาด” ที่ซ่อนอยู่ภายใต้ระบบอีโคซิสเต็มแบบปิด
หนึ่งในประเด็นที่ร้อนแรงที่สุดในขณะนี้ คือ “สิทธิในการเลือกผู้ให้บริการขนส่งสินค้า” ซึ่งถูกจำกัดโดยแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซรายใหญ่ ที่มักบังคับให้ร้านค้าและลูกค้าใช้บริการขนส่งเฉพาะรายที่มีความเชื่อมโยงกับตนเองเท่านั้น ส่งผลให้ผู้ค้าไทย โดยเฉพาะกลุ่ม ผู้ประกอบการ SMEs และผู้ขายรายย่อย ไม่สามารถแข่งขันได้อย่างเป็นธรรม ขณะเดียวกัน ผู้บริโภคก็ต้องแบกรับต้นทุนค่าขนส่งที่สูงขึ้น โดยไม่มีทางเลือก
กมธ.เศรษฐกิจลุยปรับกฎหมาย สกัดผูกขาดแพลตฟอร์ม
นายสิทธิพล วิบูลย์ธนากุล ประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า คณะกรรมาธิการได้รับเรื่องร้องเรียนจำนวนมากจากผู้ประกอบการไทยที่ได้รับผลกระทบจากแพลตฟอร์มต่างชาติ โดยเฉพาะการถูก บังคับเลือกขนส่ง ซึ่งกลายเป็นอุปสรรคใหญ่ของการแข่งขันในตลาดออนไลน์
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ร้านค้าไม่สามารถเลือกผู้ขนส่งเองได้ ลูกค้าก็เลือกไม่ได้ ส่งผลให้ต้นทุนสูงขึ้น แต่บริการกลับด้อยลง ขณะที่ผู้ประกอบการขนส่งที่ไม่ได้อยู่ในรายชื่อถูกเลือกกลับสูญเสียรายได้
พร้อมยกตัวอย่างว่า “ไปรษณีย์ไทย” ซึ่งเคยมีรายได้กว่า 30,000 ล้านบาทต่อปี เหลือเพียง 20,000 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา และขาดทุนกว่า 100 ล้านบาท ทั้งที่ธุรกิจขนส่งเติบโตสวนทางอย่างเห็นได้ชัด
ดังนั้น กมธ.ฯ จึงได้กำหนดแนวทางแก้ปัญหา 3 ประเด็นหลัก
- เปิดเสรีระบบขนส่งออนไลน์ ให้ร้านค้าและลูกค้ามีสิทธิเลือกผู้ขนส่งได้อย่างเสรี โดยให้หน่วยงานกำกับ เช่น ETDA และสำนักงานคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า (กขค.) ร่วมกันกำหนดหลักเกณฑ์
- กำกับราคาค่าขนส่งและค่าธรรมเนียม เพื่อไม่ให้แพลตฟอร์มใช้ประโยชน์ทางอำนาจเหนือตลาดกดราคา
- เพิ่มบทลงโทษแพลตฟอร์มที่ฝ่าฝืน ให้มีความรุนแรงเพียงพอ เพื่อไม่ให้รายใหญ่ยอมจ่ายค่าปรับเล็กน้อยแล้วผูกขาดต่อไปได้
กฎหมายต้องมีเขี้ยวเล็บ ไม่ใช่ให้เสียค่าปรับเล็กน้อยแล้วทำต่อได้เหมือนเดิม
ETDA ร่างกฎหมายลูก กำหนดสิทธิเลือกขนส่ง
ดร.ชัยชนะ มิตรพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) เปิดเผยว่า กำลังพิจารณาออกกฎหมายใหม่ภายใต้พระราชกฤษฎีกาการประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัล พ.ศ. 2565 (DPS) เพื่อ “บังคับให้แพลตฟอร์มเปิดให้เลือกผู้ให้บริการขนส่งอย่างน้อย 3–5 ราย”
โดยตัวกฎหมายนี้จะคืนสิทธิให้ทั้งผู้ค้าและผู้ซื้อเลือกได้เอง แต่ต้องพิจารณารอบด้าน เพราะเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน ทั้งกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง และสำนักงานการแข่งขันทางการค้า
ขณะเดียวกัน ETDA ยังอยู่ระหว่างศึกษากลไกการกำกับค่าธรรมเนียมแพลตฟอร์ม หรือ “ค่าจีพี (GP)” ซึ่งเป็นอีกจุดหนึ่งที่สร้างความไม่เป็นธรรมในตลาด โดยได้รับมอบหมายจากนายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เพื่อหามาตรการควบคุมที่เหมาะสม
หากแพลตฟอร์มขึ้นค่าจีพีจนร้านค้าไม่มีทางเลือก ก็อาจเข้าข่าย ใช้อำนาจเหนือตลาดอย่างไม่เป็นธรรม และต้องถูกควบคุมด้วยกฎหมายการแข่งขันทางการค้า
กขค. เดินหน้า “ร่างประกาศผูกขาดแพลตฟอร์ม” ทันใช้ปีนี้
ในอีกด้านหนึ่ง ผศ.ดร.วิษณุ วงศ์สินศิริกุล เลขาธิการคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า (กขค.) เปิดเผยความคืบหน้า “ร่างประกาศแนวทางพิจารณาการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม” สำหรับธุรกิจแพลตฟอร์มหลายด้าน (Multi-sided Platform) โดยเฉพาะธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ว่าขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการสรุปการรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน หลังจากที่ก่อนหน้าที่รับฟังความเห็นเสร็จแล้ว
เราไม่ได้ทำเพื่อเอื้อรายใดรายหนึ่ง แต่เพื่อให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรมในระบบนิเวศอีคอมเมิร์ซทั้งหมด และยืนยันว่า ร่างประกาศดังกล่าวจะแล้วเสร็จและมีผลบังคับใช้ภายในปี 2568 แน่นอน
สำนักงานยังได้รับความเห็นเพิ่มเติมจากสมาคมกฎหมายอเมริกัน (American Bar Association) เพื่อให้แนวทางกำกับดูแลของไทยสอดคล้องกับมาตรฐานสากล
เส้นทาง “เปิดเสรีขนส่งดิจิทัล” เพื่อความเป็นธรรมของทุกฝ่าย
ทิศทางใหม่ของการกำกับดูแลแพลตฟอร์มออนไลน์จึงไม่ใช่เพียงเรื่องกฎหมาย แต่คือการ “รีเซ็ตสมดุลของเศรษฐกิจดิจิทัลไทย” ให้กลับมามีความเป็นธรรมและแข่งขันได้จริงอีกครั้ง
การเปิดเสรีระบบขนส่งออนไลน์ จะช่วยให้ผู้บริโภคมีอำนาจเลือก ผู้ค้าได้ลดต้นทุน ขณะที่ธุรกิจขนส่งไทยทั้งรายใหญ่และรายย่อยมีโอกาสเข้ามาแข่งขันอย่างเท่าเทียม ไม่ถูกปิดกั้นโดยอำนาจของแพลตฟอร์มยักษ์
และเมื่อกฎหมายใหม่นี้เดินหน้าอย่างเป็นรูปธรรม ไม่เพียงแต่จะเปิดทางให้เศรษฐกิจดิจิทัลไทยเติบโตอย่างยั่งยืน แต่ยังเป็นก้าวสำคัญของ การคืนอำนาจให้ผู้บริโภค ให้คนไทยไม่ต้องถูกมัดมือชกภายใต้ระบบผูกขาด







