'เอเอ็มดี' แนะกลยุทธ์เร่งสปีดอุตสาหกรรมอัจฉริยะยุค 'AI - ข้อมูล'

ทุกวันนี้ข้อมูลที่ได้จากสายการผลิตนั้นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ต้องเพิ่มจำนวนและประเภทของเซ็นเซอร์มากขึ้น ข้อมูลที่เพิ่มขึ้นทำให้เกิดความต้องการพลังการประมวลผลที่หลากหลายและทรงพลัง
KEY
POINTS
- ข้อมูลที่เพิ่มขึ้นทำให้เกิดความต้องการพลังการประมวลผลที่หลากหลายและทรงพลัง
- ภาคอุตสาหกรรมและการแพทย์ต่างก็นำระบบอัตโนมัติมาใช้ ตั้งแต่อุปกรณ์ขนาดเล็กไปจนถึงเทคโนโลยีเอจและคลาวด์ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องทำงานร่วมกับ AI, แมชีนเลิร์นนิง, ซอฟต์แวร์วิเคราะห์ข้อมูล และจอแสดงผลอัจฉริยะ
- การรวมอินเทอร์เฟซเซ็นเซอร์, โปรเซสเซอร์ AI, และการประมวลผลเครือข่ายไว้บนแพลตฟอร์มเดียว ช่วยแก้ปัญหาความหน่วง และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานแบบเรียลไทม์
- กลยุทธ์การรวมศูนย์บนแพลตฟอร์มเดียวจะช่วยลดการใช้พลังงานและขนาดของอุปกรณ์โดยรวม
การออกแบบคอมพิวเตอร์สำหรับภาคอุตสาหกรรมกำลังมีความท้าทายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ...
สตีเวน ฟง รองประธานฝ่ายธุรกิจหน่วยประมวลผลแบบฝังตัวประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น เอเอ็มดี เปิดมุมมองว่า ทุกวันนี้ข้อมูลที่ได้จากสายการผลิตนั้นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ต้องเพิ่มจำนวนและประเภทของเซ็นเซอร์มากขึ้น
นอกจากนี้ ทั้งภาคอุตสาหกรรมและการแพทย์ต่างก็นำระบบอัตโนมัติมาใช้ ตั้งแต่อุปกรณ์ขนาดเล็กไปจนถึงเทคโนโลยีเอจและคลาวด์ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องทำงานร่วมกับปัญญาประดิษฐ์ (AI), แมชชีนเลิร์นนิ่ง (ML), ซอฟต์แวร์วิเคราะห์ข้อมูล และจอแสดงผลอัจฉริยะ
ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ความต้องการพลังการประมวลผลที่หลากหลายและทรงพลังเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย เทคโนโลยีใหม่เช่น แพลตฟอร์มประมวลผลแบบปรับเปลี่ยนได้ (adaptive compute platform) ออกแบบมาเพื่อจัดการกับระบบควบคุมที่ต้องใช้เซ็นเซอร์จำนวนมากโดยเฉพาะ ซึ่งช่วยเร่งการพัฒนา ทำให้การผสานฮาร์ดแวร์เข้ากับซอฟต์แวร์ง่ายขึ้น โดยยังคงประสิทธิภาพไว้สูงสุด และควบคุมการใช้พลังงานได้อย่างแม่นยำ
แก้โจทย์ใหญ่ 'ความซับซ้อน’
เอเอ็มดี มองว่า แอปพลิเคชันต่างๆ กำลังเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัลที่ทำงานบน edge (การประมวลผลที่ปลายทางใกล้ตัวผู้ใช้) ซึ่งประกอบด้วยหลายปัจจัยสำคัญ เช่น การติดตั้งเซ็นเซอร์ในทุกภาคส่วน (sensorization), การนำ AI และ ML มาใช้ทั้งบน edge และคลาวด์, ระบบสั่งการระหว่างคนกับเครื่องจักร (human machine interface), ประสบการณ์ด้านมัลติมีเดีย, ระบบเครือข่าย และการรวมระบบเทคโนโลยีฝั่งปฏิบัติการ (OT) เข้ากับฝั่งสารสนเทศ (IT) ซึ่งแต่ละส่วนมักต้องการหน่วยประมวลผลที่แตกต่างกันเพื่อให้ทำงานได้ดีที่สุด
ยกตัวอย่าง ระบบสร้างภาพทางการแพทย์ (รังสีรักษา) ที่ต้องใช้ “หัววัดสัญญาณ (probes)” เชื่อมต่อและประมวลผลด้วยอัลกอริทึมที่ซับซ้อน จึงต้องใช้พลังประมวลผลมหาศาล ข้อมูลดิบที่ได้มาจะยังไม่มีประโยชน์ต่อนักรังสีวิทยาหรือแพทย์โรคหัวใจ จนกว่าจะถูกนำไปคัดกรอง จัดระเบียบ และประมวลผลให้เรียบร้อยเสียก่อน
โดยระบบวิเคราะห์ข้อมูลและประมวลผลด้วย AI (AI inferencing) สามารถเข้ามาช่วยสร้างข้อมูลเชิงลึกและเร่งกระบวนการวิเคราะห์ผลได้ จากนั้นข้อมูลทั้งหมดจะถูกนำมาสร้างภาพ (render) และแสดงผลบนหน้าจอเพื่อช่วยให้แพทย์วิเคราะห์ได้ง่ายขึ้น ก่อนจะส่งต่อไปยังฐานข้อมูลของโรงพยาบาล
การใช้เซ็นเซอร์อย่างแพร่หลายช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลให้กับแอปพลิเคชันแบบฝังตัวได้มหาศาล เซ็นเซอร์จำนวนมากเหล่านี้ต้องรับและส่งข้อมูลในระดับมิลลิวินาที (1/1000 วินาที) เพื่อการตอบสนองที่รวดเร็วที่สุด
นอกจากนี้ ข้อมูลจากเซ็นเซอร์ยังเป็นวัตถุดิบสำคัญสำหรับอัลกอริทึมบิ๊กดาต้าเพื่อสกัดข้อมูลเชิงลึกออกมาใช้ในการปรับปรุงกระบวนการและพัฒนาผลิตภัณฑ์รุ่นต่อไป
อย่างไรก็ตาม การจะรวมระบบที่ซับซ้อนเหล่านี้เข้าด้วยกันได้นั้น ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ขั้นสูง และจะยิ่งท้าทายขึ้นเรื่อยๆ เมื่อต้องเพิ่มจำนวนเซ็นเซอร์มากขึ้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ, ความปลอดภัย และการวางแผนธุรกิจที่ดียิ่งขึ้น
ผสานรวม เพิ่มความยืดหยุ่น
สำหรับแนวทางการแก้ปัญหาที่นิยมใช้กันคือ การใช้ประโยชน์จาก สถาปัตยกรรมโปรเซสเซอร์ x86 ซึ่งเป็นที่แพร่หลายในวงการคอมพิวเตอร์อุตสาหกรรมและการแพทย์ ควบคู่ไปกับแพลตฟอร์มประมวลผลแบบปรับเปลี่ยนได้ ที่สามารถควบคุมเครื่องจักรและเชื่อมต่อเซ็นเซอร์ได้แบบเรียลไทม์
การผสมผสานนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้หลากหลาย เช่น ระบบแมชีนวิชัน (machine vision), เครือข่ายในโรงงาน, อุปกรณ์ควบคุมหุ่นยนต์, การสร้างภาพทางการแพทย์ และการวิเคราะห์ข้อมูลในธุรกิจค้าปลีก
ตามปกติแล้ว คอมพิวเตอร์สำหรับอุตสาหกรรมจะทำหน้าที่เหมือน "ผู้เฝ้าประตู" ที่คอยจัดการข้อมูลเซ็นเซอร์ที่ส่งเข้ามามหาศาล และเลือกว่าจะประมวลผลบนคอร์ x86 หรือส่งต่อไปยังการ์ดเร่งความเร็วแบบ FPGA (หากมี) ผ่านช่องเชื่อมต่อ PCIe® แต่ปัญหาหลักของวิธีนี้คือ ความหน่วง (latency) หรือความช้าในการตอบสนอง เพราะเวลาที่ใช้ในการรับ-ส่ง และประมวลผลข้อมูลอาจทำให้ระบบไม่สามารถทำงานแบบเรียลไทม์ได้
แนวคิดในการ รวมอินเทอร์เฟซเซ็นเซอร์, โปรเซสเซอร์ AI, และการประมวลผลเครือข่ายไว้บนแพลตฟอร์ม FPGA แบบปรับเปลี่ยนได้ จึงมีศักยภาพอย่างมาก การรวมฟังก์ชันเหล่านี้ไว้บนเมนบอร์ดเดียวช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดความหน่วง เพราะข้อมูลไม่ต้องเดินทางผ่านชิ้นส่วนหลายๆ ตัว ทำให้ระบบตอบสนองได้เร็วขึ้น แม่นยำขึ้น และยังใช้พลังงานน้อยลงอีกด้วย
สำหรับ ระบบนิเวศที่รองรับ แพลตฟอร์มประมวลผลแบบปรับเปลี่ยนได้ที่สามารถจัดการการประมวลผลเซ็นเซอร์, การควบคุม, ระบบเครือข่าย และ AI ได้แบบเรียลไทม์ จะช่วยลดทั้งความหน่วง, การใช้พลังงาน และขนาดของอุปกรณ์โดยรวม ผลลัพธ์ที่ได้คือแพลตฟอร์มที่ทรงพลังและมีประสิทธิภาพสำหรับระบบประมวลผลแบบฝังตัว







