ฟองสบู่ AI : 'ความคาดหวัง-การเก็งกำไร' สัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม

ฟองสบู่ AI : 'ความคาดหวัง-การเก็งกำไร' สัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม

เมื่อต้นเดือนนี้ทางซีอีโอของ บริษัท Goldman Sachs ออกมาเตือนว่า มีความเป็นไปได้ที่อาจเกิดฟองสบู่ AI ซึ่งจะทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับตัวลงที่อาจเกิดขึ้นภายใน 12 ถึง 24 เดือนข้างหน้า

KEY

POINTS

  • ผู้เชี่ยวชาญทางการเงินและผู้นำในวงการเทคโนโลยีหลายรายออกมาเตือนถึงความเสี่ยงของภาวะฟองสบู่ AI ที่เกิดจากการลงทุนและการเก็งกำไรที่สูงเกินจริง โดยเปรียบเทียบกับวิกฤตฟองสบู่ดอทคอมในอดีต
  • สัญญาณเตือนที่ชัดเจน คือ เม็ดเงินลงทุนมหาศาลที่หลั่งไหลเข้าสู่บริษัท AI อย่างรวดเร็ว แม้หลายโครงการจะยังไม่สามารถสร้างผลกำไรที่คุ้มค่า และการประเมินมูลค่าบริษัทสูงเกินปัจจัยพื้นฐาน
  • มีการวิเคราะห์ว่าภาวะฟองสบู่อาจกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มบริษัท "ชั้นแอปพลิเคชัน" (Application Layer) ที่สร้างบริการบน AI ในขณะที่บริษัท "ชั้นโครงสร้างพื้นฐาน" (Infrastructure Layer) เช่น ผู้ผลิตชิปและผู้ให้บริการคลาวด์ยังมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งและทำกำไรได้จริง

เมื่อต้นเดือนนี้ทางซีอีโอของ บริษัท Goldman Sachs ออกมาเตือนว่า มีความเป็นไปได้ที่อาจเกิดฟองสบู่ AI ซึ่งจะทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับตัวลงที่อาจเกิดขึ้นภายใน 12 ถึง 24 เดือนข้างหน้า ทั้งนี้เนื่องมาจากการเติบโตอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี AI ทำให้มีการลงทุนจำนวนมหาศาลที่มีมูลค่าตลาดเกินกว่าความจำเป็นมาก โดยเขาได้เปรียบเทียบกับความคลั่งไคล้แบบเก็งกำไรในยุคฟองสบู่ Dot-com ในช่วงปลายทศวรรษ 1990

จริงๆ แล้วก็มีหลายคนเคยออกมากล่าวเตือนทำนองเดียวกัน อาทิเช่น นักเศรษฐศาสตร์จากสถาบันการเงินอย่าง Apollo และ Deutsche Bank ได้ออกมาเตือนว่าฟองสบู่ AI ในปัจจุบันมีขนาดใหญ่และกระจุกตัวมากกว่ายุคดอทคอมอีก มีการวิเคราะห์ว่าบริษัท 10 อันดับแรกในดัชนี S&P 500 ในปัจจุบันมีมูลค่าที่สูงเกินจริง

การทุ่มทุนใน AI เริ่มมีลักษณะคล้ายฟองสบู่

แม้แต่ Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI ที่ทำ ChatGPT ก็ออกมายอมรับอย่างตรงไปตรงมาในเดือนสิงหาคม 2025 ว่า การทุ่มทุนใน AI เริ่มมีลักษณะคล้ายฟองสบู่ตลาด และเป็นสิ่งที่นักลงทุนไม่ควรมองข้าม รวมถึง Mark Zuckerberg ผู้ก่อตั้ง Facebook ก็ออกมาพูดในเดือนกันยายน 2025 ว่าเขาเห็นสัญญาณฟองสบู่ AI จากกระแสการลงทุนและการประเมินมูลค่าบริษัท AI ที่สูงผิดปกติในตลาด

หากเราจำกันได้ ในช่วงปลายทศวรรษ 1990 โลกกำลังตื่นเต้นกับศักยภาพของ “อินเทอร์เน็ต” ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ถูกมองว่าจะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่าง บรรยากาศเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นว่านี่คือการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งใหม่ นักลงทุนต่างหลั่งไหลเข้าไปลงทุนในบริษัทใดก็ตามที่มีคำว่า “.com” ต่อท้ายชื่อ โดยไม่สนใจว่าบริษัทเหล่านั้นมีรายได้หรือกำไรหรือไม่

ลักษณะสำคัญของยุคนั้น คือ การให้ความสำคัญกับ “เรื่องเล่า” มากกว่า “ตัวเลข” บริษัทต่างๆ ขายฝันถึงอนาคตที่สดใส โดยวัดความสำเร็จจากจำนวน “ผู้เข้าชมเว็บไซต์” (Eyeballs) แทนที่จะเป็นผลกำไรที่จับต้องได้ บริษัทอย่าง Pets.com ที่ขายสินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยงออนไลน์ หรือ Webvan ที่ให้บริการส่งของชำ กลายเป็นขวัญใจนักลงทุนและมีมูลค่าตลาดมหาศาล ทั้งที่ยังไม่มีรูปแบบธุรกิจที่ยั่งยืนและเผาผลาญเงินสดอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนจำนวนมากมองข้ามปัจจัยพื้นฐานอย่างอัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E ratio) ไปโดยสิ้นเชิง เพราะเชื่อว่ากฎเกณฑ์เก่าๆ ใช้ไม่ได้กับ “เศรษฐกิจใหม่” นี้

แต่แล้วความจริงก็ปรากฏ ในเดือนมีนาคม ปี 2000 เมื่อความเชื่อมั่นเริ่มสั่นคลอน ฟองสบู่ก็แตกออกอย่างรุนแรง ดัชนี NASDAQ ซึ่งเต็มไปด้วยหุ้นเทคโนโลยี ร่วงลงเกือบ 80% จากจุดสูงสุดในช่วงสองปีถัดมา มูลค่าตลาดหลายล้านล้านดอลลาร์หายวับไปกับตา บริษัทดอทคอมจำนวนมากล้มละลาย และนักลงทุนรายย่อยจำนวนมากต้องสูญเสียเงินออมไปจนหมดสิ้น วิกฤตการณ์ครั้งนั้นได้ทิ้งบทเรียนราคาแพงไว้ว่า แม้เทคโนโลยีจะมีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงโลกได้จริง แต่ความคลั่งไคล้ในการเก็งกำไรที่ปราศจากพื้นฐานรองรับ ย่อมนำไปสู่การล่มสลายเสมอ

เงินทุนมหาศาลที่หลั่งไหลเข้าสู่อุตสาหกรรม AI

สำหรับในยุค AI สัญญาณที่ชัดเจนที่สุดของภาวะฟองสบู่คือปริมาณเงินทุนมหาศาลที่หลั่งไหลเข้าสู่อุตสาหกรรม AI อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ข้อมูลจาก Crunchbase ระบุว่าการลงทุนของภาคเอกชนทั่วโลกในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับ AI พุ่งสูงขึ้นกว่า 80% เมื่อเทียบแบบปีต่อปี จาก 55.6 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023 เป็นมากกว่า 100 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024 ปัจจุบัน ภาคส่วนนี้เพียงภาคส่วนเดียวคิดเป็นสัดส่วนเกือบหนึ่งในสามของการลงทุนร่วมลงทุน (Venture Capital) ทั่วโลกทั้งหมด

ความคลั่งไคล้ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด คือ ในกลุ่ม Generative AI ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเบื้องหลังแอปอย่าง ChatGPT โดยการลงทุนภาคเอกชนในกลุ่มนี้แตะระดับ 33.9 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024 ซึ่งสูงกว่าระดับของปี 2022 ถึง 8.5 เท่า ขนาดของการระดมทุนในแต่ละรอบนั้นน่าตกใจ บริษัทอย่าง Databricks สามารถระดมทุนได้ถึง 10 พันล้านดอลลาร์ในรอบเดียว ขณะที่ OpenAI ระดมทุนได้ 6.6 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นตัวเลขที่ในอดีตแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

แต่การลงทุนที่มหาศาลหลายกรณียังไม่เห็นผลตอบแทนที่ชัดเจน บริษัทเทคโนโลยีกำลังใช้เงินหลายแสนล้านดอลลาร์ไปกับชิปขั้นสูงและดาต้าเซ็นเตอร์เพื่อรองรับ AI แต่หลายโครงการยังไม่เห็นกำไรที่คุ้มค่า เช่น มีรายงานว่าบริษัทอย่าง Oracle ขาดทุนกว่า 100 ล้านดอลลาร์จากการเช่าชิป Nvidia ที่ไม่ได้ใช้งานเต็มประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ การศึกษาจาก MIT ชี้ว่า 95% ของโครงการทดลอง AI ในบริษัทต่างๆ ล้มเหลวในการสร้างผลลัพธ์ที่จับต้องได้ แม้จะลงทุนไปกว่า 40,000 ล้านดอลลาร์ นักวิเคราะห์จาก Wall Street บอกว่าตลาดรู้ดีว่าฟองสบู่นี้ต้องแตกสักวัน แต่คำถามคือจะยืดเยื้อไปอีกนานแค่ไหน

นักลงทุนบางคนเริ่มมีความกังวลว่าเงินที่ไหลเข้าสู่วงการ AI มาจาก “การหมุนเวียนเงิน” ระหว่างบริษัทผลิตชิปเช่น Nvidia ที่ขาย GPUให้บริษัทอื่นๆที่ใช้ GPU ในการพัฒนา AI แล้วบริษัทเหล่านั้นก็ใช้เงินกลับมาซื้อหุ้น Nvidia อีกที หรือ Nvidia ก็เข้าไปลงทุนร่วมกับบริษัทเหล่านั้นเช่นกัน ซึ่งอาจนำไปสู่การล่มสลายเหมือนยุคดอทคอม

รวมถึงมีความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญบางคนคาดว่าฟองสบู่จะแตกในกลางปี 2026 เมื่ออุปทานดาต้าเซ็นเตอร์แซงหน้าความต้องการ ทำให้ราคาการประมวลผล AI ถูกลง นอกจากนี้ทำให้การลงทุนใน ดาต้าเซ็นเตอร์จะไม่มีความคุ้มค่าพอ

หลายฝ่ายเชื่อว่า AI ไม่ใช่ฟองสบู่แบบดอทคอม

แม้จะมีสัญญาณเตือน แต่หลายฝ่ายเชื่อว่า AI ไม่ใช่ฟองสบู่แบบดอทคอมทั้งหมด เพราะมีความแตกต่างสำคัญ ประการแรก คือความต้องการที่ยังสูงลิ่ว 

อาทิ เช่น บริษัท Nvidia ขายชิปหมดเกลี้ยง โดยรายได้พุ่งสูงถึง 130 พันล้านดอลลาร์ในปีนี้ ซึ่งแตกต่างจากยุคดอทคอมที่หลายบริษัทไม่มีรายได้จริง แต่สำหรับ AI มีการนำไปใช้ในชีวิตประจำวันแล้ว เช่น ในระบบแพทย์ที่ช่วยวินิจฉัยโรคเร็วขึ้น หรือรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติที่ลดอุบัติเหตุ นอกจากนี้ Gartner Hype Cycle ปี 2025 ชี้ว่าเทคโนโลยีอย่าง AI agents ยังอยู่ในจุดสูงสุดของความคาดหวัง แต่คาดว่าจะเข้าสู่ช่วงพัฒนาจริงใน 2-5 ปีข้างหน้า

เมื่อวิเคราะห์อย่างละเอียด จะเห็นภาพเศรษฐกิจ AI ที่มีความซับซ้อนกว่าแค่คำว่า “ฟองสบู่” เราอาจกำลังเห็น เศรษฐกิจ AI สองระดับ ระดับแรกคือ ชั้นโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Layer) ซึ่งประกอบด้วยผู้ผลิตชิป (Nvidia) และผู้ให้บริการคลาวด์ (Microsoft, Google, Amazon) ชั้นนี้มีผลกำไรที่ชัดเจน มีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และอาจมีการเติบโตที่ยั่งยืน อย่างไรก็ตาม ใน ชั้นแอปพลิเคชัน (Application Layer) ซึ่งประกอบด้วยสตาร์ทอัพหลายพันแห่งที่สร้างบริการบนโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ กลับมีการเก็งกำไรที่สูงกว่ามาก และความสามารถในการทำกำไรยังไม่ผ่านการพิสูจน์ ดังนั้น “ฟองสบู่” อาจกระจุกตัวอยู่ในชั้นแอปพลิเคชันนี้ ในขณะที่ชั้นโครงสร้างพื้นฐานยังคงแข็งแกร่ง

ข้อสรุปที่เป็นไปได้และสมเหตุสมผลที่สุดคือ เรากำลังเผชิญกับสองปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมกัน: การปฏิวัติทางเทคโนโลยีที่แท้จริงและลึกซึ้ง ซึ่งเป็นรากฐานของการเติบโตในระยะยาว และในขณะเดียวกัน การปฏิวัตินี้ก็ได้ก่อให้เกิด ฟองสบู่ทางการเงินจากการเก็งกำไร ในการประเมินมูลค่าของสินทรัพย์บางประเภท โดยเฉพาะหุ้นของบริษัทในชั้นแอปพลิเคชัน กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เทคโนโลยีหลักนั้นเป็นของจริงและทรงพลัง แต่ราคาที่นักลงทุนบางคนยอมจ่ายเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของมันอาจขาดเหตุผลรองรับ

สำหรับนักลงทุนทั่วไป แนะนำให้ศึกษาพื้นฐานบริษัทก่อนลงทุน อย่าลงทุนตามกระแส และกระจายความเสี่ยง เช่น ลงทุนในบริษัทที่มีรายได้จริงจาก AI ไม่ใช่แค่คำสัญญา สำหรับคนทั่วไป AI ยังคงเป็นเครื่องมือที่เปลี่ยนชีวิตเราได้ เช่น ผู้ช่วยส่วนตัวหรือการแพทย์ที่แม่นยำขึ้น แต่จงระวัง “ความคาดหวังเกินจริง” ที่อาจทำให้ผิดหวัง หากฟองสบู่แตก มันอาจเป็นจุดเริ่มต้นของ AI ที่แท้จริงและยั่งยืนกว่าเดิม