จับตา ศึกสองมหาอำนาจ AI : สหรัฐ vs จีน ใครจะครองอนาคต?

เมื่อนึกถึง Generative AI คนส่วนใหญ่ก็จะนึกถึงแอปอย่าง ChatGPT, Gemini, Claude หรือ Grok ที่มีการพัฒนาโมเดลขนาดใหม่ๆ ออกมาตลอดเวลา อย่างล่าสุดค่ายของ Gemini ก็ปล่อยตัวโมเดล nano Banana ที่มีความสามารถในการปรับเปลี่ยนและสร้างรูปออกมา ทำให้คนจำนวนมากหันมาใช้แอป Gemini กันมากขึ้น
KEY
POINTS
- สหรัฐฯ เป็นผู้นำด้านการลงทุนภาคเอกชนและเทคโนโลยีชิป AI ขณะที่จีนโดดเด่นด้านปริมาณงานวิจัยและสิทธิบัตรโดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล
- โมเดล AI ของจีนมีประสิทธิภาพทัดเทียมกับสหรัฐฯ มากขึ้น โดยเน้นความคุ้มค่า การเป็นโอเพนซอร์ส และการใช้งานเฉพาะทาง เช่น AI Agent ที่ทำงานได้ดีกว่า
- การแข่งขันนี้เป็นการปะทะกันของสองแนวทางที่แตกต่างกัน คือ สหรัฐฯ ที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมภาคเอกชน และจีนที่ขับเคลื่อนด้วยยุทธศาสตร์ของรัฐ ซึ่งอาจนำไปสู่โลก AI สองขั้วในอนาคต
ในทางกลับกันพอนึกถึง Generative AI ของบริษัทจากจีน น้อยคนนักจะมีโอกาสใช้แอปหรือโมเดลจากค่ายจีน ก็จะมีเพียงโมเดล DeepSeek V3 ที่สร้างความตื่นเต้นให้กับคนทั่วโลกเมื่อต้นปี ด้วยความสามารถของโมเดลที่ดีแต่ราคาค่อนข้างต่ำมากเมื่อเทียบกับโมเดลของค่ายยักษ์ใหญ่ในสหรัฐอเมริกา หลังจากนั้นพอโมเดลจากสหรัฐฯ มีตัวที่เก่งออกมาเรื่อยๆ คนก็เริ่มสนใจ DeepSeek น้อยลง
แต่หลังๆ พอโปรแกรม Gen-AI ที่พัฒนาจากการเป็นแชทบ็อต เพียงเพื่อมาตอบคำถามต่างๆ กลายมาเป็น AI Agent ที่สามารถทำงานได้เองอัตโนมัติตามเป้าหมายที่เรากำหนดไว้ ผมเองก็พบว่าแอปจากค่ายจีนทำงานได้ดีมากอย่าง Manus AI และ Minimax AI ซึ่งเมื่อเทียบกับความสามารถของแอปจากสหรัฐฯ แล้ว จะพบว่าแอปของจีนจะมีความเป็น Agent ที่แท้จริง และให้ผลลัพธ์ได้ดีกว่า นอกจากนี้ผมเองก็เริ่มทดลองใช้โมเดลจีนอย่าง Seedance ของค่าย Bytedance ในการสร้างรูปหรือวิดีโอมากขึ้น ก็พบว่าคุณภาพสามารถที่จะแข่งขันได้ในราคาที่ถูกกว่ามาก
สัปดาห์ก่อนผมเดินทางไปเมืองจีนซึ่งก็ไม่แปลกใจที่พบว่า คนในจีนไม่สามารถที่จะเล่นโปรแกรม GenAI ต่างๆจากสหรัฐฯ ได้ แต่ก็พบว่าจีนมีแอปและโมเดลที่มีความสามารถสูงอยู่หลายตัว เช่นDoubao (จาก ByteDance), DeepSeek, Qwen (จาก Alibaba) และ Minimax ซึ่งโมเดลเหล่านี้เน้นความคุ้มค่า ต้นทุนต่ำ และการเปิดโค้ด (open-source) ทำให้แข่งขันกับโมเดลจากสหรัฐฯ ได้ใกล้เคียง
โดยเฉพาะในด้านประสิทธิภาพการคำนวณและการใช้งานเฉพาะทาง เช่น การเขียนโค้ด คณิตศาสตร์ และการสร้างเนื้อหาภาพ/วิดีโอ อย่างไรก็ตาม โมเดลจากสหรัฐฯ ยังนำในด้าน multimodal (รองรับหลายรูปแบบข้อมูล) การผสานกับโปรแกรมอื่นๆ ที่เราใช้งานเช่น Google Workspace หรือ Microsoft ข้อสำคัญยิ่งโมเดลจากสหรัฐฯ ยังให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัยและจริยธรรมในการใช้งานค่อนข้างสูง
นอกจากนี้ผมมีโอกาสเข้าร่วมงาน China ASEAN AI cooperation พบว่าจีนพยายามพัฒนาโมเดลภาษาเฉพาะด้าน เช่น การใช้งานกับภาษาต่างๆ ในประเทศอาเซียนที่ทำให้ราคาการใช้งานถูกกว่า และมีการมุ่งเน้นองค์ความรู้ในบางด้านให้ทำงานเฉพาะทางที่ไม่จำเป็นต้องเป็นโมเดลภาษาขนาดใหญ่ และจีนเองก็มุ่งเน้นที่จะสร้างความร่วมมือกับประเทศอาเซียนในการพัฒนา AI ทั้งการพัฒนาคน และสร้างระบบนิเวศร่วมกัน โดยหวังว่าจะเป็นผู้นำทางด้านนี้
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง มีความมุ่งมั่นที่จะแข่งขันในเรื่องของ AI โดยเน้นพึ่งพาตนเองและเสริมความแข็งแกร่งด้วยตัวเอง เพื่อพัฒนา AI ของจีน ขณะที่จีนกำลังแข่งขันกับสหรัฐฯ เพื่อครองความเป็นผู้นำในด้าน AI ซึ่งถือเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญ และประธานาธิบดีสีเคยกล่าวไว้เมื่อปีที่แล้วว่า AI ไม่ควรเป็นเกมของประเทศร่ำรวยและคนร่ำรวย จึงทำให้ความร่วมมือของจีนด้าน AI กับประเทศต่างๆ มากขึ้น
ปัญญาประดิษฐ์หรือ AI กำลังกลายเป็นสมรภูมิทางเทคโนโลยีที่สำคัญที่สุดในศตวรรษที่ 21 การแข่งขันระหว่าง สหรัฐอเมริกา และจีน กำลังทวีความเข้มข้นในทุกมิติ ทั้งในด้านการลงทุน งานวิจัย สิทธิบัตร รวมถึงการสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านชิปและศูนย์ข้อมูล ซึ่งแต่ละภูมิภาคต่างก็มีจุดแข็งและจุดอ่อนที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน
จากข้อมูลของ Standard HAI ระบุว่า สหรัฐฯ ยังคงเป็นผู้นำอย่างชัดเจนในด้านการลงทุน โดยเฉพาะเงินทุนจากภาคเอกชนที่ทิ้งห่างคู่แข่งอย่างขาดลอย ในปี 2024 สหรัฐฯ มีมูลค่าการลงทุนภาคเอกชนใน AI สูงถึง 109.1 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งมากกว่าของจีนเกือบ 12 เท่า (9.3 พันล้านดอลลาร์) ความได้เปรียบนี้ส่วนหนึ่งมาจากระบบนิเวศของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่และเงินทุนร่วมลงทุนที่แข็งแกร่ง ทำให้สตาร์ทอัพที่มีนวัตกรรมล้ำสมัยสามารถระดมทุนก้อนใหญ่ได้อย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังเป็นผู้ผลิตชิป AI รายใหญ่ที่สุดในโลก โดยเฉพาะบริษัท NVIDIA ที่ครองส่วนแบ่งตลาด GPU สำหรับศูนย์ข้อมูลสูงถึง 92% ยิ่งไปกว่านั้น สหรัฐฯ ยังได้เปรียบในแง่ของจำนวนโมเดล AI ที่โดดเด่น โดยในปี 2024 สถาบันในสหรัฐฯ สร้างโมเดล AI ที่น่าทึ่งถึง 40 โมเดล เทียบกับจีนที่มีเพียง 15 โมเดลเท่านั้น
ในทางกลับกัน จีนกำลังก้าวขึ้นมาเป็นผู้ท้าชิงที่น่ากลัวด้วยแนวทางที่ขับเคลื่อนโดยรัฐบาลกลางแม้ว่าการลงทุนจากภาคเอกชนจะยังตามหลังสหรัฐฯ อยู่มาก แต่รัฐบาลจีนได้ทุ่มเงินลงทุนมหาศาลเพื่อชดเชยช่องว่างนี้ ยกตัวอย่างเช่น จีนตั้งเป้าจะเป็นผู้นำโลกด้าน AI ภายในปี 2030 และได้จัดตั้งกองทุนส่งเสริมเซมิคอนดักเตอร์วงเงิน 300,000 ล้านหยวน (ประมาณ 47.5 พันล้านดอลลาร์) เพื่อพัฒนาชิปขั้นสูงในประเทศ
นอกจากนี้ จีนยังโดดเด่นอย่างมากในด้านปริมาณงานวิจัยและสิทธิบัตร โดยในปี 2022 นักวิจัยชาวจีนได้ตีพิมพ์งานวิชาการด้าน AI มากถึง 155,487 ฉบับ ซึ่งมากที่สุดในโลก และในแง่ของสิทธิบัตร จีนถือครองสิทธิบัตร AI ประมาณ 69.7% ของโลก ณ ปี 2023 สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่าจีนกำลังสร้างรากฐานความรู้ที่กว้างและลึกสำหรับเศรษฐกิจ AI ในอนาคตอย่างแข็งขัน
ที่น่าสนใจคือ แม้ว่าจีนจะถูกจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีชิปขั้นสูง แต่ประสิทธิภาพของโมเดล AI ของจีนก็กำลังไล่ตามโมเดลของสหรัฐฯ อย่างรวดเร็ว โดยช่องว่างในแบบทดสอบมาตรฐานได้ลดลงจนเกือบเท่าเทียมกันในปี 2024 แต่ความสามารถชิป AI ของจีนยังคงล้าหลัง 3-4 ปีจากโหนดที่ทันสมัย เนื่องจากการควบคุมการส่งออกจำกัดการเข้าถึงอุปกรณ์ลิโทกราฟี EUV อย่างไรก็ตาม การตอบสนองแบบระบบของจีนผ่านกองทุนเซมิคอนดักเตอร์ 47.5 พันล้านดอลลาร์และบริษัทอย่าง Huawei ที่พัฒนาชิป Ascend 910B/910C แสดงให้เห็นความมุ่งมั่นในการบรรลุความเป็นอิสระทางเทคโนโลยี
การแข่งขันด้าน AI ในปัจจุบันไม่ใช่แค่การต่อสู้ทางเทคโนโลยี แต่เป็นการปะทะกันของสองค่ายที่แตกต่างกัน สหรัฐฯ เน้นขับเคลื่อนด้วยทุนและนวัตกรรมของภาคเอกชน ส่วนจีนขับเคลื่อนด้วยพลังรัฐและขนาดของประชากร สหรัฐฯ ยังคงเป็นผู้นำในปัจจุบัน แต่จีนก็กำลังไล่ตามมาอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะในแง่ของประสิทธิภาพโมเดล และเป็นผู้นำในเชิงปริมาณของงานวิจัยและสิทธิบัตร การแข่งขันนี้มีพลวัตสูงและได้รับอิทธิพลจากปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์มากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการควบคุมการส่งออกเซมิคอนดักเตอร์
ซึ่งจากพลวัตในปัจจุบัน สามารถคาดการณ์ภาพอนาคตที่เป็นไปได้สามสถานการณ์ ดังนี้
สถานการณ์ที่ 1: สหรัฐฯ ยังคงเป็นผู้นำ: วงจรที่แข็งแกร่งของเงินทุน บุคลากร และนวัตกรรมของสหรัฐฯ ยังคงดำเนินต่อไป ทำให้สหรัฐฯ สามารถรักษาความเป็นผู้นำในโมเดลระดับ Frontier ได้ แม้ว่าส่วนแบ่งในเศรษฐกิจ AI โลกอาจลดลงเมื่อประเทศอื่นไล่ตามทัน
สถานการณ์ที่ 2: จีนก้าวกระโดด: จีนประสบความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาคอขวดด้านฮาร์ดแวร์ผ่านนวัตกรรมในประเทศ และใช้ความได้เปรียบด้านข้อมูลและการนำไปใช้งานเพื่อสร้างความก้าวหน้าครั้งสำคัญในสาขาหลักๆ จนสามารถท้าชิงตำแหน่งผู้นำกับสหรัฐฯ ได้อย่างสูสี
สถานการณ์ที่ 3: โลก AI สองขั้ว: สหรัฐฯ และจีนสร้างระบบนิเวศ AI ที่แตกต่างและแข่งขันกันโดยสิ้นเชิง โดยมีมาตรฐานทางเทคโนโลยี รูปแบบการกำกับดูแลข้อมูล และเขตอิทธิพลทางภูมิรัฐศาสตร์ของตนเอง สิ่งนี้จะบีบให้ประเทศอื่นๆ (รวมถึงไทย) ต้องเลือกข้างหรือต้องปรับตัวเพื่อดำเนินงานในภูมิทัศน์ที่ซับซ้อนและแตกแยกนี้
จากการแข่งขัน AI ระดับโลก ประเทศไทยควรดำเนินยุทธศาสตร์ที่ชาญฉลาดโดยมุ่งเน้นการดำเนินนโยบายอย่างสมดุลเพื่อสร้างความร่วมมือกับทั้งสองฝ่าย และหลีกเลี่ยงการพึ่งพาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากเกินไป การมุ่งเน้นโอกาสในตลาดเฉพาะทาง หรือ “Vertical AI” เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและข้อได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืนในสาขาที่ประเทศไทยมีความเชี่ยวชาญ เช่น การเกษตร การท่องเที่ยว หรือการแพทย์ และการใช้แนวทางกำกับดูแลแบบ “ผู้ตามที่ชาญฉลาด” (Smart Follower) ด้วยการปรับใช้กรอบกฎหมายที่มีอยู่จากต่างประเทศ เพื่อสร้างสมดุลระหว่างนวัตกรรมและการคุ้มครองสังคม







