ถอดบทเรียนควบรวมค่ายมือถือต่างประเทศ แม้ราคาสูงขึ้น แต่รัฐไม่ลอยแพ้ผู้บริโภค

ส่องแนวทางปฏิบัติหน่วยงานกำกับดูแลของหน่วยงานในต่างประเทศ หลังอนุญาตให้ค่ายมือถือ 'ควบรวม' กิจการได้ สะท้อนประเด็นร้อนต่ออนาคตการแข่งขันโทรคมนาคมไทย
KEY
POINTS
- บทเรียนจากต่างประเทศชี้ว่าการควบรวมกิจการโทรคมนาคมมักทำให้ค่าบริการสูงขึ้น แต่หน่วยงานกำกับดูแลของรัฐจะออกมาตรการเข้มงวดเพื่อคุ้มครองผู้บริโภค
- กรณีศึกษาในแคนาดา รัฐบาลอนุญาตให้ควบรวมกิจการ แต่ตั้งเงื่อนไขบังคับให้ขายแบรนด์ลูกแก่ผู้เล่นรายย่อย เพื่อรักษาสภาพการแข่งขันในตลาด
- ในยุโรปและสหราชอาณาจักร หน่วยงานกำกับดูแลมีท่าทีเข้มงวด โดยเคยสั่งห้ามการควบรวม หรืออนุมัติภายใต้เงื่อนไขที่ต้องลงทุนโครงข่ายและตรึงราคาแพ็กเกจพื้นฐาน
- สหรัฐอเมริกาเป็นตัวอย่างผลกระทบเชิงลบ ที่การควบรวม T-Mobile และ Sprint ทำให้เหลือผู้เล่นน้อยราย ส่งผลให้ผู้บริโภคต้องจ่ายค่าบริการแพงขึ้นและมีทางเลือกน้อยลง
- สำหรับประเทศไทย มีงานวิจัยคาดการณ์ว่าการควบรวมจะทำให้ราคาค่าบริการสูงขึ้น กระทบต่อเงินเฟ้อและจีดีพี ซึ่งเป็นความเสี่ยงหากมาตรการกำกับดูแลไม่มีประสิทธิภาพ
คำพิพากษาศาลปกครองกลางยกฟ้องคดี 'ควบรวม' บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น และบมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (ดีแทค) เมื่อวันที่ 26 ก.ย.ที่ผ่านมา สะท้อนประเด็นร้อนต่ออนาคตการแข่งขันโทรคมนาคม ขณะที่บทเรียนจากต่างประเทศชี้การควบรวมทำให้ราคาบริการสูงขึ้น แต่หน่วยงานกำกับออกมาตรการเข้ม ตั้งเงื่อนไขบังคับขายกิจการลูก หรือตรึงราคาพื้นฐานเพื่อปกป้องประชาชน
ควันหลงคำพิพากษา ศึกษาบทเรียนต่างประเทศ
ภายหลังศาลปกครองกลางมีคำพิพากษายกฟ้องคำร้องของสภาองค์กรผู้บริโภค ที่คัดค้านมติคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กรณี “รับทราบ” การรวมธุรกิจทรูและดีแทค
สภาองค์กรของผู้บริโภค เผยว่า ประเด็นควันหลงที่ตามมาคือผลกระทบต่อผู้บริโภค ซึ่งงานวิจัยและกรณีศึกษาต่างประเทศสะท้อนชัดว่าการควบรวมทำให้ค่าบริการโทรคมนาคมปรับสูงขึ้น
กรณีศึกษาแคนาดา : อนุญาตควบรวมแต่บังคับขายกิจการลูก
กรณี “ชอว์–โรเจอร์ส” ในแคนาดา ที่มีมูลค่าการควบรวมกว่า 6.9 แสนล้านบาท สำนักงานการแข่งขันแคนาดาคัดค้านด้วยเหตุผลว่าค่าบริการจะสูงขึ้น คุณภาพลดลง และประชาชนมีทางเลือกน้อยลง สุดท้ายรัฐบาลอนุญาตให้ควบรวม แต่บังคับขายแบรนด์ลูก ฟรีดอม โมบาย ให้ผู้เล่นท้องถิ่น และกำหนดให้โรเจอร์สแบ่งปันคลื่นกับเทลัส เพื่อเปิดทางให้รายเล็กสามารถแข่งขันจริง
ยุโรป–อังกฤษ : กำกับเข้ม ห้ามควบรวมไร้เงื่อนไข
ในสหราชอาณาจักรและอียู กรณีการพยายามควบรวมระหว่าง Three UK และ O2 ถูกคณะกรรมาธิการยุโรปสั่งห้าม เพราะอาจทำให้ตลาดเหลือผู้เล่นเพียง 3 ราย แต่ต่อมาเกิดการฟ้องร้องในชั้นศาล ขณะที่การควบรวม Vodafone และ Three UK แม้ได้รับอนุญาต แต่มีเงื่อนไขบังคับลงทุนกว่า 11,000 ล้านปอนด์ พร้อมมาตรการคุ้มครองผู้บริโภค เช่น ตรึงราคาแพ็กเกจพื้นฐานและคุ้มครองผู้ให้บริการโครงข่ายเสมือน (MVNO)
สหรัฐอเมริกา : ค่าบริการพุ่งหลังควบรวม
ในสหรัฐอเมริกา การควบรวม T-Mobile และ Sprint ทำให้ผู้ให้บริการเหลือเพียง 3 รายใหญ่ ผลการประเมินพบว่าผู้บริโภคต้องจ่ายค่าบริการเพิ่มขึ้นกว่า 9 พันล้านดอลลาร์ และทางเลือกในตลาดลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
บทเรียนไทย : ราคามีแนวโน้มสูงขึ้น–จีดีพีหดตัว
สำหรับประเทศไทย สำหรับประเทศไทยมีผลวิจัยจาก สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) รายงานกรณีที่มีผู้ให้บริการในประเทศไทยลดลงเหลือ 2 ราย โดยใช้แบบจำลองของทีดีอาร์ไอคาดการณ์ว่าราคาอาจสูงขึ้น 33% ซึ่งอยู่ในระดับใกล้เคียงกับการคาดการณ์ของนักวิชาการอื่นๆ เนื่องจากผู้ประกอบการไม่ได้แข่งขันเรื่องด้านราคาอีกต่อไป และไม่เน้นนำเสนอโปรโมชันที่ดีให้แก่ลูกค้า
รวมถึงเมื่อมีการควบรวมสำเร็จ ผู้บริโภคและผู้ประกอบการรายย่อยของไทยจะเหลือทางเลือกที่น้อยลง จึงมีความเสี่ยงต่อการถูกเอาเปรียบจากผู้ประกอบการรายใหญ่ อย่างที่เคยเกิดขึ้นในธุรกิจโรงหนัง ค้าปลีกขนาดใหญ่ โรงพยาบาลและอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งไม่ได้มีผลกระทบต่อกลุ่มคนรายได้น้อยเท่านั้นที่เดือดร้อน แต่ยังกระทบมาถึงคนชั้นกลางจำนวนเช่นกัน
นอกจากนี้ สำนักงาน กสทช. ได้เคยเปิดรับฟังความคิดเห็นต่อการควบรวมในช่วงเดือน มิ.ย.2565 ระหว่าง ทรู และ ดีแทค พร้อมมีข้อเสนอจาก คณะอนุกรรมการเพื่อศึกษาและวิเคราะห์กรณีการรวมธุรกิจ ได้รายงานผลกระทบความรุนแรงภายหลังการควบรวมขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยที่มีผลต่อตลาด
ทั้งนี้ผลการศึกษาต่อสภาพเศรษฐกิจในแง่ของอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มสูงขึ้นหลังการควบรวม ซึ่งเมื่อมีการร่วมมือระดับต่ำจะมีผลกระทบต่อเงินเฟ้อ 0.17% – 0.34% ส่วนกรณีร่วมมือระดับสูงผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อสูงสุด 0.60% – 2.07%
ทางด้านผลกระทบต่ออัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) หากไม่มีการร่วมมือกัน จีดีพีหดตัวลดลงประมาณ 0.05% – 0.11% คิดเป็นมูลค่าลดลง 8,244 – 18,055 ล้านบาท ส่วนกรณีร่วมมือระดับต่ำ จีดีพีหดตัวลดลง 0.17% – 0.33% คิดเป็นมูลค่าลดลง 27,148 – 53,147 ล้านบาท แต่กรณีที่ร่วมมือระดับสูง จีดีพีหดตัวลดลงระดับ 0.58% – 1.99% คิดเป็นมูลค่าลดลง 94,427 – 322,892 ล้านบาท
ยิ่งผูกขาดกระทบต่อราคาแพงที่ขึ้น
อีกทั้งมีการเปิดเผยข้อมูลจาก “สำนักการอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคม 2 กสทช.” ได้ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ผลกระทบด้านราคาที่อาจเกิดขึ้นภายหลังการควบรวมธุรกิจ 2 แบบ โดยทำการวิเคราะห์เรื่องควบรวมช่วง 10 ปีที่ผ่านมา พบว่า กรณีการร่วมมือระดับต่ำ ราคาเพิ่มขึ้น 12.57-39.81% ส่วนกรณีร่วมกันระดับสูง ราคาเพิ่มขึ้น 49.30-244.50%
จากบทเรียนในต่างประเทศ โดยเฉพาะ “ประเทศแคนาดา” แสดงให้เห็นว่าการควบรวมไม่จำเป็นต้องเป็นห้ามไปทั้งหมด แต่สามารถ “อนุญาตแบบมีเงื่อนไขแข็งแรง” เช่น บังคับขายกิจการลูก และเปิดทางให้รายเล็กแข่งขันจริง รวมถึงในสหราชอาณาจักร/อียู สะท้อนว่าเมื่อการแข่งขันหายไปแล้ว การห้ามควบรวมเป็นทางเลือกสำคัญ โดยเฉพาะกรณีที่ตลาดเหลือผู้เล่นน้อยจนไม่อาจกดดันราคาได้
ประเทศไทย เมื่อมีการควบรวมของบริษัทโทรคมนาคม แต่หน่วยงานที่กำกับดูแลคือ กสทช. ได้ประกาศมาตรการดูแลภายหลังการควบรวม ทั้งกำหนดเงื่อนไขให้ค่าบริการลดลงเฉลี่ย 12% ภายใน 90 วัน
แต่ปัจจุบันยังไม่ได้มีการดำเนินการดังกล่าว เพื่อมุ่งปกป้องผลประโยชน์ของผู้บริโภค และทำให้ผู้บริโภคไม่ต้องเผชิญผลกระทบการจ่ายค่าบริการที่แพงขึ้น รวมถึงไม่ได้รับบริการที่แย่ลง จากการแข่งขันในตลาดโทรคมนาคมที่มีผู้ประกอบการ 2 ค่ายเท่านั้น







