ดีลควบรวม 'ทรู-ดีแทค' รอด! ศาลมีคำสั่งยกฟ้อง ชี้มติ กสทช.ชอบด้วยกฎหมาย

สภาผู้บริโภคพ่ายรอบแรก ศาลปกครองกลางยกฟ้องคดีเพิกถอนมติ กสทช. รับทราบควบรวมทรู–ดีแทค ชี้ไม่ขัดกฎหมาย แต่ยังเปิดทางอุทธรณ์ ขณะที่ผู้บริโภคเตรียมไม่ยอมแพ้เตรียมยื่นอุทธรณ์ในชั้นต่อไป
KEY
POINTS
- ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษายกฟ้องคดีที่สภาองค์กรของผู้บริโภคยื่นฟ้อง กสทช. กรณีมีมติ "รับทราบ" การควบรวมกิจการระหว่างทรู และดีแทค
- ศาลชี้ว่ามติของ กสทช. ที่ "รับทราบ" การควบรวมนั้นชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากไม่ใช่ทุกกรณีที่การควบรวมธุรกิจจำเป็นต้องขออนุญาต
- ศาลเห็นว่าประเด็นการแต่งตั้งที่ปรึกษาอิสระ และการไม่จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ไม่ได้ทำให้มติของ กสทช. ขัดต่อกฎหมาย
- แม้ศาลจะยกฟ้อง แต่ได้ยอมรับว่าสภาองค์กรของผู้บริโภคมีสิทธิตามกฎหมายในการยื่นฟ้องคดีนี้ เพราะเกี่ยวข้องโดยตรงกับสิทธิผู้บริโภค
- สภาองค์กรของผู้บริโภคยืนยันว่าจะใช้สิทธิยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาต่อศาลปกครองสูงสุด เพื่อเดินหน้าปกป้องผลประโยชน์ของผู้บริโภคต่อไป
วันนี้ (26 ก.ย.68) นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค เปิดเผยภายหลัง ศาลปกครองกลาง มีคำพิพากษายกฟ้อง คดีที่สภาผู้บริโภคยื่นฟ้องคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กรณีมีมติ “รับทราบ” การควบรวมระหว่าง บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE และ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DTAC
แม้ศาลจะรับรองว่าสภาองค์กรผู้บริโภคมีสิทธิตามกฎหมายในการยื่นฟ้อง เพราะเกี่ยวพันโดยตรงกับสิทธิผู้บริโภค แต่ศาลเห็นว่ามติ กสทช. ที่ “รับทราบ” การควบรวมดังกล่าวถือว่าถูกต้องตามกฎหมาย โดยมีเหตุผลสำคัญ 3 ประการ
1.ศาลชี้ว่า การควบรวมธุรกิจไม่ได้จำเป็นต้องขออนุญาตในทุกกรณี การที่ กสทช. ใช้รูปแบบ “รับทราบ” ไม่ถือว่าผิดกฎหมาย
2. การแต่งตั้งที่ปรึกษาอิสระ แม้ผู้ฟ้องโต้แย้งว่าไม่เป็นกลาง แต่ศาลเห็นว่าเป็นเพียงขั้นตอนทางปกครอง และได้รับการเห็นชอบก่อนโครงสร้างผู้ถือหุ้นเปลี่ยนแปลง จึงไม่ขัดต่อกฎหมาย
3. การเปิดรับฟังความคิดเห็นประชาชนไม่ใช่ข้อบังคับตามระเบียบสำหรับการออกมติ “รับทราบ” ดังนั้น แม้จะไม่มีเวทีรับฟังความเห็นสาธารณะก็ไม่ถือว่าไม่มีความผิด
นอกจากนี้ ศาลยังปัดตกประเด็นอื่นที่สภาผู้บริโภคหยิบยก เช่น ข้อกล่าวหาเรื่องการโหวตซ้ำ (Double Vote) การตีความสถานะธุรกิจเดียวกัน รวมถึงข้อกล่าวหาไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญด้านการแข่งขันเสรี และเป็นธรรม โดยเห็นว่าไม่มีน้ำหนักเพียงพอจะเพิกถอนมติ
เป็นเหตุให้ศาลจึงมีคำพิพากษายกฟ้อง แต่สภาผู้บริโภคยังยืนยันจะใช้สิทธิอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด เพื่อเดินหน้าปกป้องสิทธิผู้บริโภคให้ถึงที่สุด
ทั้งนี้ คดีการควบรวมกิจการระหว่างทรู และดีแทค ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์โทรคมนาคมไทย จุดเริ่มต้นเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2564 ที่ทรู และดีแทคยื่นเรื่องต่อ กสทช. ขออนุญาต ควบรวมธุรกิจ โดยอ้างเหตุผลเรื่องประสิทธิภาพ และการแข่งขันในตลาด ถัดมาจากนั้นอีกเกิดการควบรวมกิจการอินเทอร์เน็ตบ้านระหว่าง AIS และ 3BB
แต่สำหรับผู้บริโภค และภาคประชาสังคม การควบรวมทั้งสองครั้งกลับถูกมองว่าเป็นความเสี่ยงต่อสิทธิขั้นพื้นฐาน เพราะอาจทำให้ทางเลือกน้อยลง ราคาค่าบริการสูงขึ้น และโครงสร้างตลาดกลายเป็นการผูกขาด
ตลอดปี 2565 เครือข่ายผู้บริโภค พรรคการเมือง และนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ และกฎหมาย ต่างออกมาเรียกร้องให้ กสทช. ต้องฟังเสียงประชาชน เพราะมือถือ และอินเทอร์เน็ตไม่ใช่สินค้าฟุ่มเฟือยอีกต่อไป แต่เป็น “ของจำเป็น” ที่ทุกครอบครัวต้องใช้ในชีวิตประจำวัน แม้เสียงคัดค้านดังต่อเนื่อง แต่ในที่สุดเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2565 กสทช. กลับมีมติ “รับทราบ” การควบรวม ก่อนที่ในเดือนพฤศจิกายน ปีเดียวกัน สภาผู้บริโภคได้ยื่นฟ้องกรรมการ กสทช. ต่อศาลปกครอง เพื่อเพิกถอนมติดังกล่าว
ปี 2566 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ทรู-ดีแทคประกาศรวมธุรกิจเสร็จสมบูรณ์ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. 2566 และจัดตั้งบริษัทใหม่ในชื่อ บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น
ขณะที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และเครือข่ายต่างๆ เดินหน้าฟ้องคดีต่อศาลปกครอง โดยในเดือนตุลาคม ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งรับฟ้องคดีนี้ ถือเป็นสัญญาณว่าประเด็นดังกล่าวมีน้ำหนักเพียงพอที่จะเข้าสู่การพิจารณาอย่างจริงจัง นอกจากนี้ สภาผู้บริโภคยังได้จัดทำรายงานการละเลยหน้าที่ของ กสทช. เพื่อตอกย้ำให้เห็นถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับผู้บริโภค
ในปี 2567 สภาผู้บริโภคยังคงเคลื่อนไหวต่อเนื่อง มีการจัดเวทีนำเสนอรายงาน และยื่นต่อทั้งคณะกรรมการติดตาม และประเมินผลการปฏิบัติงาน (กตป.) กรรมาธิการสามชุดในสภาผู้แทนราษฎร รวมถึงกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน วุฒิสภา เพื่อผลักดันให้ฝ่ายนิติบัญญัติร่วมตรวจสอบบทบาท และการทำงานของ กสทช.
เข้าสู่ปี 2568 สภาผู้บริโภคได้ให้ 101PUB ศึกษา และติดตามเงื่อนไขหลังการควบรวม พร้อมทั้งจัดเวทีสาธารณะหลายต่อหลายครั้งเพื่อชี้ให้เห็นถึงความทุกข์ของผู้บริโภคหลังควบรวมธุรกิจโทรคมนาคม ทั้งราคาค่าบริการที่สูงขึ้น แพ็กเกจราคาถูกหายไป และสิทธิพิเศษหลายอย่างถูกลดทอน
โดยมีการเผยแพร่รายงานเมื่อกรกฎาคม 2568 พบว่า ผู้บริโภคทั้งแบบเติมเงิน และรายเดือนต้องเผชิญค่าบริการสูงขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มเติมเงินที่เพิ่มขึ้นถึง 12–16%
ซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ถึง 80% ของผู้ใช้มือถือ และส่วนใหญ่มีรายได้น้อย นอกจากนี้ สภาผู้บริโภคชี้ว่า กสทช. ยังละเลยหน้าที่กำกับดูแลเพื่อคุ้มครองผลประโยชน์สาธารณะ ไม่บังคับใช้เงื่อนไขการควบรวมที่ควรลดค่าบริการเฉลี่ยลง 12% และเปิดโอกาสให้ผู้ให้บริการเครือข่ายเสมือน (MVNO) เข้าสู่ตลาดมากขึ้น
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







