ใกล้รู้ผล! ศาลนัดชี้ชะตา 26 ก.ย. นี้ ควบรวม'ทรู – ดีแทค' ผูกขาดหรือไม่

สภาผู้บริโภคฟ้องเพิกถอนมติ กสทช. หลังการควบรวมทำค่าบริการพุ่ง คุณภาพลดลง กระทบผู้ใช้มือถือทั้งประเทศ จับตา 26 ก.ย.68 ศาลนัดอ่านคำพิพากษา ชี้ชะตาทรู-ดีแทค ผูกขาดตลาดมือถือหรือไม่
KEY
POINTS
- ศาลปกครองกลางนัดอ่านคำพิพากษาในวันที่ 26 กันยายน 2568 นี้ เพื่อชี้ชะตาคดีการควบรวมกิจการระหว่างทรู และดีแทค
- คดีดังกล่าวเกิดจากสภาผู้บริโภคยื่นฟ้องเพื่อขอให้เพิกถอนมติของ กสทช. ที่อนุญาตให้มีการควบรวม โดยอ้างว่าส่งผลกระทบต่อสิทธิผู้บริโภค
- ข้อกล่าวหาหลักคือ การควบรวมทำให้ตลาดโทรศัพท์มือถือเหลือผู้ให้บริการรายใหญ่เพียง 2 ราย นำไปสู่การผูกขาด ทำให้ค่าบริการสูงขึ้น และคุณภาพลดลง
- งานวิจัยชี้ว่าผู้ใช้บริการ โดยเฉพาะกลุ่มเติมเงินซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ ได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากค่าบริการที่เพิ่มขึ้น 12-16% หลังการควบรวม
- คำตัดสินของศาลในครั้งนี้ถือเป็นคดีประวัติศาสตร์ที่จะสร้างบรรทัดฐานให้กับการกำกับดูแลการแข่งขัน และสิทธิผู้บริโภคในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลปกครองกลางได้นัดอ่านคำพิพากษาในวันที่ 26 กันยายน 2568 คดีที่สภาผู้บริโภคยื่นฟ้องเพิกถอนมติ กสทช. กรณีการควบรวมธุรกิจโทรคมนาคมระหว่างบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE และ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DTAC หลังถูกมองว่ากระทบสิทธิผู้ใช้บริการ และทำให้ตลาดมือถือไทยเหลือผู้เล่นหลักเพียง 2 ราย
ย้อนกลับไปก่อนเดือนตุลาคม 2565 ตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่ยังคงมีการแข่งขันจากผู้ให้บริการรายใหญ่ 3 ราย ทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกหลากหลายทั้งในด้านแพ็กเกจ และราคา แต่เมื่อ กสทช. มีมติรับทราบการควบรวมทรู-ดีแทค สถานการณ์กลับเปลี่ยนไป ผู้บริโภคถูกจำกัดทางเลือก ค่าบริการสูงขึ้น คุณภาพการให้บริการลดลงอย่างชัดเจน
สภาผู้บริโภคจึงเชิญชวนให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบติดตามผลการพิจารณาคดีครั้งนี้ ซึ่งอาจเป็นหมุดหมายสำคัญของการแข่งขันในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทย
งานวิจัยชี้ผู้ใช้เติมเงินถูกกระทบหนัก
การฟ้องร้องดังกล่าวอ้างอิงงานวิจัยของ 101 Public Policy Think Tank ที่ติดตามผลจากการควบรวมมือถือ และอินเทอร์เน็ตบ้านตลอด 3 ปีที่ผ่านมา โดยเผยแพร่รายงานเมื่อกรกฎาคม 2568 พบว่า ผู้บริโภคทั้งแบบเติมเงิน และรายเดือนต้องเผชิญค่าบริการสูงขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มเติมเงินที่เพิ่มขึ้นถึง 12–16% ซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ถึง 80% ของผู้ใช้มือถือ และส่วนใหญ่มีรายได้น้อย
นอกจากนี้ สภาผู้บริโภคชี้ว่า กสทช. ยังละเลยหน้าที่กำกับดูแลเพื่อคุ้มครองผลประโยชน์สาธารณะ ไม่บังคับใช้เงื่อนไขการควบรวมที่ควรลดค่าบริการเฉลี่ยลง 12% และเปิดโอกาสให้ผู้ให้บริการเครือข่ายเสมือน (MVNO) เข้าสู่ตลาดมากขึ้น
ผู้บริโภคไร้ทางเลือก - ค่าบริการพุ่ง
ผลการศึกษายังระบุว่าแพ็กเกจราคาต่ำสุดหลายรายการหายไป เช่น อินเทอร์เน็ตบ้านแบบไม่อั้นที่เคยเริ่มต้นเพียง 100 บาทต่อเดือน ปัจจุบันราคาขั้นต่ำขยับขึ้นราว 191 บาท สะท้อนถึงการลดลงของการแข่งขัน และการเข้าถึงบริการที่ยากขึ้น ขณะที่คุณภาพสัญญาณ และการให้บริการไม่ดีขึ้นตามราคา
ศาลรับฟ้องชี้เป็นประโยชน์สาธารณะ
สภาผู้บริโภคยื่นฟ้อง กสทช. มาตั้งแต่พฤศจิกายน 2565 แม้ศาลชั้นต้นไม่รับ แต่ต่อมาในตุลาคม 2566 ศาลปกครองสูงสุดกลับคำสั่ง และมีมติให้รับฟ้อง โดยชี้ว่าบริการโทรคมนาคมเป็นบริการสาธารณะขั้นพื้นฐานที่มีผลกระทบต่อประชาชนจำนวนมาก อีกทั้งเป็นอุตสาหกรรมที่มีลักษณะกึ่งผูกขาดโดยธรรมชาติ ดังนั้นการควบรวมย่อมส่งผลต่อการแข่งขัน และสิทธิผู้บริโภคในวงกว้าง จึงควรอยู่ในอำนาจศาลพิจารณา
อย่างไรก็ดี คำตัดสินของศาลปกครองกลางในวันที่ 26 กันยายน 2568 นี้ ถูกมองว่าเป็นคดีประวัติศาสตร์ เพราะไม่เพียงชี้ชะตาการควบรวมทรู–ดีแทค แต่ยังเป็นบรรทัดฐานต่อการกำกับดูแล การแข่งขัน และสิทธิในการเลือกใช้บริการของประชาชนในอนาคตด้วย
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







