'ภาวุธ' ฝากการบ้านรมว.ดีอีใหม่ ชู 5 เสาหลักเดินหน้าปฏิรูปดิจิทัล

ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ที่ปรึกษาและนายกกิตติมศักดิ์ สมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทย เสนอแผนพัฒนาดิจิทัลเร่งด่วน 5 เสาหลัก 15 แนวทาง ให้รัฐมนตรีดิจิทัลคนใหม่ใช้พลังรัฐ–เอกชน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมไทยด้วยเทคโนโลยี
KEY
POINTS
- เสนอให้รัฐและเอกชนร่วมมือกัน โดยรัฐกำหนดนโยบายและให้เอกชนเป็นผู้ขับเคลื่อนหลัก พร้อมยกระดับ E-Logistics และใช้เทคโนโลยีลดความเหลื่อมล้ำ
- สร้างเศรษฐกิจดิจิทัลที่เป็นธรรม โดยการจัดเก็บภาษีจากแพลตฟอร์มต่างชาติอย่างเป็นระบบ และบังคับให้ผู้ขายต่างชาติเสียภาษีในไทย
- ยกระดับ SMEs และบริษัทเทคโนโลยีไทย โดยตั้งเป้าให้ SMEs 1 ล้านรายส่งออกออนไลน์ได้ และมีนโยบายให้ภาครัฐสนับสนุนบริษัทเทคโนโลยีของไทยก่อน
- ลงทุนใน AI และทักษะแห่งอนาคต ผ่านการตั้ง AI Sandbox, สนับสนุนทุนวิจัย, สร้างหลักสูตรดิจิทัลแห่งชาติ และส่งเสริมการใช้ AI ที่พัฒนาโดยคนไทยในภาครัฐ
- พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและความเชื่อมั่นดิจิทัล เช่น อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงทั่วประเทศ, National Data Center, Digital ID และจัดตั้งศูนย์ป้องกันภัยไซเบอร์
นายภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ที่ปรึกษาและนายกกิตติมศักดิ์ สมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทย เปิดเผยว่า การได้รัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) คนใหม่ โดยเฉพาะที่เป็นคนรุ่นใหม่ ถือเป็นจังหวะสำคัญที่ประเทศไทยจะขับเคลื่อนการพัฒนาเชิงดิจิทัลอย่างจริงจัง พร้อมเสนอ “Thailand Digital Transformation Framework” ประกอบด้วย 5 เสาหลักและ 15 แนวทาง เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ชัดเจนภายในเวลาอันสั้น
นายภาวุธ ระบุว่า เสาหลักแรกคือ การสร้างความร่วมมือรัฐ–เอกชนเพื่อสังคม (Public–Private & Social Impact) ภาครัฐควรเป็นผู้กำหนดกรอบนโยบายและ KPI ชัดเจน แต่เปิดให้สมาคมและภาคเอกชนเป็นผู้ขับเคลื่อนหลัก พร้อมยกระดับระบบ E-Logistics และ Crossborder E-Commerce เพื่อลดต้นทุนและเปิดตลาดต่างประเทศ ตลอดจนใช้เทคโนโลยีช่วยลดความเหลื่อมล้ำ เช่น Telehealth, e-Learning และ Blockchain เกษตร
เสาหลักที่สอง คือ การสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลที่เป็นธรรม (Fair Digital Economy) ผ่านการจัดเก็บภาษีดิจิทัลจากแพลตฟอร์มต่างชาติอย่างเป็นระบบ ควบคู่กับการเจรจาเชิงนโยบายกับแพลตฟอร์มระดับโลกเพื่อสร้างระบบป้องกันการหลอกลวงออนไลน์ และบังคับให้ผู้ขายต่างชาติใน Shopee, Lazada และ TikTok ลงทะเบียนและเสียภาษีในไทย
เสาหลักที่สาม คือ การยกระดับ SMEs และบริษัทเทคไทย (Empower Thai SMEs & Tech Companies) ตั้งเป้าให้ SMEs ไทย 1 ล้านรายสามารถส่งออกผ่านออนไลน์ได้จริง ผ่านการจัดตั้ง E-Commerce Export Hub และ Open Commerce Network ควบคู่กับการใช้ Big Data และ e-KYC สร้างระบบเครดิตดิจิทัลสำหรับ SME พร้อมนโยบาย Buy Thai Tech First ให้รัฐและรัฐวิสาหกิจเลือกใช้บริการจากบริษัทเทคไทยก่อน
เสาหลักที่สี่ มุ่งสู่การ ลงทุนใน AI และทักษะแห่งอนาคต (AI, Data & Future Skills) ผ่านการตั้ง AI Sandbox ให้เอกชนและสตาร์ตอัพพัฒนาโครงการจริง สนับสนุนทุนวิจัย และสร้างหลักสูตรดิจิทัลแห่งชาติด้าน Coding, Data, AI และ Cybersecurity ขยายไปสู่ทุกภูมิภาค รวมถึงเริ่มนำ AI ที่พัฒนาโดยคนไทยมาใช้ในหน่วยงานราชการ
เสาหลักสุดท้าย คือ โครงสร้างพื้นฐานและความเชื่อมั่นดิจิทัล (Digital Infrastructure & Trust) ที่ต้องลงทุนอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงทั่วประเทศ สร้าง National Data Center & Cloud ไทย ผลักดันการใช้ Digital ID และบริการภาครัฐออนไลน์ (E-Government) พร้อมจัดตั้งศูนย์ Cyber Defense และออกมาตรฐาน Digital Trustmark เพื่อปกป้องผู้บริโภคและธุรกิจออนไลน์
นายภาวุธ ย้ำว่า แม้เวลาที่มีจำกัดเพียง 4 เดือน แต่หากกระทรวงดิจิทัลสามารถใช้โครงสร้างที่มีอยู่และทำงานประสานกับภาคเอกชน ก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงเชิงรูปธรรมลงจริง พร้อมเชิญชวนให้ทุกภาคส่วนเสนอความคิดเห็นเพิ่มเติม เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้าด้วยเทคโนโลยี







