หุ้น AI - ฟองสบู่ที่ใกล้แตก? | เศรษฐศาสตร์+สุขภาพ

หุ้น AI - ฟองสบู่ที่ใกล้แตก? | เศรษฐศาสตร์+สุขภาพ

เริ่มมีบทวิเคราะห์ออกมามากขึ้นที่ตั้งประเด็นว่า ราคาหุ้น AI นั้น ปรับตัวสูงขึ้นเกินพื้นฐานอย่างมากจนเป็นฟองสบู่ที่อาจแตกได้ บทความชิ้นหนึ่งที่เขียนได้ดีคือ บทความใน The Economist

ชื่อว่า What if the AI stock market blow up เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2025 ซึ่งผมขอนำมาแปลสรุปดังนี้ครับ

ตั้งแต่ Chat GPT เริ่มให้บริการในปี 2022 มูลค่าหุ้นในตลาดสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้นไปอีก 21 ล้านล้านเหรียญ (จีดีพีสหรัฐเท่ากับ 29 ล้านล้านเหรียญในปี 2024) การปรับเพิ่มขึ้นดังกล่าวนั้น 55% มาจากการปรับขึ้นของราคาหุ้น เพียง 10 หุ้น เช่น Amazon, Broadcom, Meta และ Nvidia 

ปัจจุบันเราทราบกันดีว่า อุตสาหกรรม AI กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก ใครๆ ก็พูดถึง AI และที่สำคัญคือ ในปีนี้เงินของกองทุนร่วมลงทุน (venture capital) ของฝ่ายตะวันตกมากถึง ⅓ ของจำนวนทั้งหมด ถูกกระจายไปลงทุนใน AI ทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐในเครื่องแรกของปีนี้ ถูกขับเคลื่อนโดยการลงทุนใน AI เป็นหลัก

(ดังนั้น แม้ว่าการจ้างงานจะชะลอตัวลง และการเก็บภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีทรัมป์จะทำให้เศรษฐกิจสะดุด แต่การลงทุนใน AI กำลังช่วยพยุงเศรษฐกิจสหรัฐอย่างชัดเจน)

ทั้งนี้เพราะตลาดทุนเชื่อมั่นว่า AI จะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ของเศรษฐกิจ ไม่แพ้กับการปฏิวัติอุตสาหกรรม (Industrial Revolution) ที่เกิดขึ้นเมื่อ 260 ปีที่แล้ว และจะสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจคิดเป็นเงินนับร้อยล้านล้านเหรียญในอนาคต

แต่หากเจาะลึกลงไปดูข้อมูลจริง ก็จะพบว่า AI ยังไม่ได้สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจมากเท่าใดนัก โดยมีการประเมินเบื้องต้นว่า บริษัท AI ปัจจุบันสามารถสร้างรายได้เพียง 50,000 ล้านเหรียญต่อปี (เทียบกับมูลค่าหุ้นที่เพิ่มขึ้นไปแล้วกว่า 11 ล้านล้านเหรียญ) และเมื่อเทียบกับเงินที่จะนำไปลงทุนสร้างศูนย์ข้อมูล (Data Center) ที่มีมูลค่าสูงถึง 2.9 ล้านล้านเหรียญ ในช่วง 3 ปีข้างหน้า (2025-2028) 

มูลค่าดังกล่าวยังไม่รวมค่าใช้จ่ายในการผลิตพลังงานไฟฟ้าจำนวนมาก ที่จะต้องใช้ขับเคลื่อนโมเดลพื้นฐานที่ใช้ในการเทรน Generative AI ให้ประมวลผล และให้ข้อมูลออกมาเป็นผลลัพธ์เชิงภาษา (large language model) กล่าวคือ ให้ AI ได้เรียนรู้จากข้อมูลมหาศาล เพื่อนำเอามาสร้างผลลัพธ์ที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ

นอกจากนั้นก็ยังมีรายงานจากมหาวิทยาลัย MIT ที่ผมขอสรุปประเด็นสำคัญดังนี้

1.ธุรกิจในหลายสาขาได้นำเอา AI ไปใช้ (ประมาณ 40% ของ 300 บริษัทที่สำรวจทั้งหมด) โดยลงทุนไปแล้วประมาณ 30,000-40,000 ล้านเหรียญ

2.ใน 95% ของบริษัทดังกล่าว การนำเอา AI ไปใช้ไม่ได้ทำให้กำไรของบริษัทเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด แต่ผลิตภาพของพนักงานบางคนเพิ่มขึ้น

3.มีเพียงธุรกิจ 2 สาขาเท่านั้น ที่การใช้ AI ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้าง คือ ธุรกิจที่ให้บริการด้านความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง (professional services) และภาคสื่อและโทรคมนาคม

การที่นักลงทุน “ตื่นเต้นเกินกว่าเหตุ” เมื่อพบเจอเทคโนโลยีใหม่ๆ นั้น ไม่ใช่เรื่องใหม่ มีงานวิจัยในปี 2018 สรุปว่าในช่วงปี 1825-2000 มีนวัตกรรม 51 ประเภทเกิดขึ้น และในจำนวนนี้ ได้มีการเก็งกำไรและลงทุนเกินกว่าปัจจัยพื้นฐาน ทำให้เกิดฟองสบู่ในราคาหุ้นทั้งหมด 37 กรณี นักวิเคราะห์ของบริษัท Goldman Sachs เตือนว่า “Tech enthusiasm always runs ahead of tech realities”.

คำถามคือ การแตกของฟองสบู่ทางเทคโนโลยีจะทำให้เกิดความเสียหายมากเพียงใด และในลักษณะใด ซึ่งสามารถประเมินในเบื้องต้นได้ดังนี้

1.บริษัทที่จุดประกาศและเป็นแกนนำเทคโนโลยี มักจะไม่สามารถอยู่รอดได้ บริษัทผู้บุกเบิกจะได้รับผลกระทบโดยตรงที่รุนแรงเมื่อฟองสบู่แตก ราคาหุ้นตกต่ำทำให้ล่มสลายลง และมีบริษัทรายใหม่เข้ามาแทนที่ (บริษัทที่เป็นผู้บุกเบิก มักจะมีราคาหุ้นสูงและมีหนี้มาก แต่กระแสเงินสดจะมีอยู่น้อย)

2.ในกรณีที่นักการเมือง “หวังดี” และทำนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมดังกล่าว จะกลับเป็นผลร้าย ทำให้ฟองสบู่ใหญ่ขึ้นไปอีก และเมื่อฟองสบู่แตก ความเสียหายจึงจะสูงมากเป็นพิเศษ เช่น กรณีของประเทศญี่ปุ่นในศตวรรษ 1980 ที่ส่งเสริมการเป็นผู้นำในการผลิตหน่วยความจำแบบสุ่มแบบไดนามิก (DRAM -Dynamic Random Access Memory) แบบสุดตัว

แต่ไม่ได้ผลิตชิปเพื่อประมวลผล (ซึ่งกำลังบูมอยู่ในขณะนี้) และปล่อยให้เกิดฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ ทำให้เศรษฐกิจตกต่ำรุนแรง ในปี 1989 และต้องใช้เวลานับ 10 ปี กว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัว

3.ปริมาณและความต่อเนื่องของการลงทุน เช่นในกรณีของประเทศอังกฤษ ที่ได้มีการ “ทุ่มทุน” สร้างรางรถไฟ ในช่วง 1844-1847 ที่มีมูลค่าสูงถึง 15-20% ของจีดีพี ทำให้มีผลกระทบต่อจีดีพีอย่างมาก เช่นเดียวกับการลงทุนในสายไฟเบอร์ออฟติก (Fiber Optic) ที่เกินกว่าความต้องการจริงหลายเท่าตัวในทศวรรษ 90

แต่การลงทุนทั้งสองนั้น เมื่อเวลาผ่านไป ก็ไม่ได้เสียเปล่าเพราะถูกนำมาใช้งานได้ในที่สุดและเป็นประโยชน์กับประเทศ แต่นักลงทุนไม่ได้รับผลตอบแทนดังที่คาดเอาไว้

4.กลุ่มใดจะได้รับผลกระทบจากการแตกของฟองสบู่? นอกจากผู้ถือหุ้นของบริษัทผู้บุกเบิกเทคโนโลยีจะได้รับผลกระทบจากกรณีที่ฟองสบู่แตกแล้ว ก็เป็นไปได้ที่ผลกระทบจะกระจายตัวไปสู่กลุ่มอื่นๆ เช่นในกรณีของอังกฤษ ที่ธนาคารพาณิชย์เข้ามาปล่อยกู้ให้ขยายการสร้างรางรถไฟ ทำให้มีหนี้เสียเป็นจำนวนมาก 

แต่ในกรณีของ AI นั้น บริษัทยักษ์ใหญ่ AI มีกระแสเงินสดมาก จึงสามารถเอาไปใช้ลงทุนสร้างศูนย์เก็บข้อมูล (data center) ได้เองเกือบครึ่งหนึ่งของมูลค่าลงทุนในอนาคต แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ การที่ครัวเรือนสหรัฐถือหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ในสัดส่วนที่สูงถึง 30% ของสินทรัพย์ทั้งหมดของครัวเรือน แปลว่าหากฟองสบู่ AI ของสหรัฐแตก ก็น่าจะส่งผลต่อการบริโภคของสหรัฐอย่างมีนัยยะสำคัญ ครับ