"วิศิษฏ์" ทิ้งทวนปลัดดีอี ปรับสมดุลกฎหมายไปรษณีย์ เร่งวางรากฐานดิจิทัลก่อนเกษียณ

"วิศิษฏ์" ทิ้งทวนปลัดดีอี ปรับสมดุลกฎหมายไปรษณีย์ เร่งวางรากฐานดิจิทัลก่อนเกษียณ

ก่อนวางมือจากตำแหน่งปลัดดีอี 'วิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ' แตะเบรกร่าง พ.ร.บ.ไปรษณีย์ที่เปิดทางอิสระเกินไป หวั่นรัฐหลุดบทบาทกำกับ พร้อมเร่งผลักดัน 4 ฉบับกฎหมายดิจิทัลสำคัญเข้าสู่ ครม. ในโค้งสุดท้าย เพื่อวางโครงสร้างสาธารณูปโภคดิจิทัลและความมั่นคงเชิงนโยบายให้ทันรัฐบาลชุดถัดไป

KEY

POINTS

  • ปลัดกระทรวงดีอีสั่งชะลอและทบทวนร่าง พ.ร.บ.การประกอบกิจการไปรษณีย์ เพื่อปรับสมดุลโครงสร้างคณะกรรมการกำกับดูแลให้มีตัวแทนภาครัฐ 
  • เร่งผลักดันกฎหมายดิจิทัลสำคัญอีก 4 ฉบับเข้าสู่การพิจารณาของครม.ในเดือนก.ย. ก่อนการเกษียณอายุราชการ
  • ติดตามและปรับปรุงโครงการ “เน็ตสาธารณะ” ทั่วประเทศ โดยวางแผนยกระดับจุดใช้งานสูง
  • ผลักดันระบบเอกสารอิเล็กทรอนิกส์บนคลาวด์กลางภาครัฐ (GDCC) ให้เป็นโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลที่สำคัญสำหรับหน่วยงานรัฐ เพื่อรองรับการเชื่อมต่อกับ AI
  • เน้นย้ำถึงความสำคัญของความต่อเนื่องเชิงนโยบายหลังการเกษียณ เพื่อให้การผลักดันกฎหมายและโครงการโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่สำคัญไม่หยุดชะงัก

การเกษียณอายุราชการของปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมในปีนี้ กลายเป็นช่วงเวลาสำคัญสำหรับการจัดวางรากฐาน “นโยบายดิจิทัล” ของรัฐไทย ศาสตราจารย์พิเศษ วิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ เปิดเผยว่าในโค้งสุดท้ายก่อนวางมือ ได้ชะลอการเสนอร่าง พ.ร.บ.การประกอบกิจการไปรษณีย์ เพราะพบความเสี่ยงเชิงโครงสร้างจากแนวทางฉบับเดิม ซึ่งให้อิสระแก่คณะกรรมการกำกับมากจนอาจทำให้ภาครัฐสูญเสียบทบาทในการกำกับดูแลบริการพื้นฐานของชาติ

ประเด็นสำคัญที่ปลัดดีอีเน้นคือการยึดโยงบทบาทรัฐกับกลไกการกำกับดูแล แม้ว่าระบบกฎระเบียบสมัยใหม่จะส่งเสริมความเป็นอิสระของหน่วยกำกับ แต่ตัวอย่างประเทศต้นแบบอย่างสิงคโปร์และออสเตรียก็ยังคงให้ตัวแทนภาครัฐมีบทบาทเพื่อสะท้อนนโยบายสาธารณะและรับผิดชอบต่อบริการพื้นฐานที่สำคัญ เช่น การคุ้มครองผู้ใช้ การรับประกันบริการสาธารณะ และความต่อเนื่องของโครงสร้างพื้นฐานในยามวิกฤต

อีกหนึ่งหัวข้อที่ถูกหยิบยกคือการเปิดเสรีให้ใครก็สามารถตั้งบริษัทจัดส่งสิ่งของโดยไม่มีเกณฑ์กำกับที่ชัดเจน

ปลัดดีอีเตือนว่าการเปิดตลาดแบบไร้กรอบอาจนำไปสู่ปัญหาเชิงโครงสร้างในระบบโลจิสติกส์ ทั้งในมิติความปลอดภัย การคุ้มครองผู้บริโภค และการบูรณาการกับผู้ให้บริการหลักอย่างไปรษณีย์ไทย ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบต่อบริการที่รัฐต้องการคงอยู่

\"วิศิษฏ์\" ทิ้งทวนปลัดดีอี ปรับสมดุลกฎหมายไปรษณีย์ เร่งวางรากฐานดิจิทัลก่อนเกษียณ

ด้วยเหตุนี้ กระทรวงดีอี สั่งการให้ฝ่ายกฎหมายปรับร่างกฎหมายใหม่ให้มีโครงสร้างคณะกรรมการที่สมดุลและมีตัวแทนภาครัฐเป็นองค์ประกอบหลัก พร้อมแผนจัดประชาพิจารณ์เปิดรับฟังความเห็นภายในเดือนตุลาคม ก่อนยื่นเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี

 การร่างกฎหมายต้องฟังประชาชนและผู้มีส่วนได้เสีย มิใช่ร่างแล้วรีบยื่นโดยไม่รับฟัง นี่คือการสะท้อนแนวคิดการบริหารเชิงมีส่วนร่วม

นอกจากกฎหมายไปรษณีย์ กระทรวงกำลังเร่งกฎหมายอีก 3  ฉบับ ได้แก่

  1. พ.ร.บ.เศรษฐกิจแพลตฟอร์มดิจิทัล,
  2. พ.ร.บ.ส่งเสริมอุตสาหกรรมเกม
  3. พ.ร.บ.ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์

ซึ่งทั้งหมดอยู่ในขั้นตอนปรับแก้รายละเอียดสุดท้ายเพื่อเสนอที่ประชุม ครม. ภายในเดือนกันยายน — เป้าหมายเชิงเวลาอันเข้มข้นที่สะท้อนความพยายามหวังลดความเสี่ยงช่องว่างทางกฎหมายเมื่อมีการเปลี่ยนผ่านผู้บริหาร

ในมิติการให้บริการประชาชน กระทรวงยังติดตามโครงการ “เน็ตสาธารณะ” (เดิมชื่อ เน็ตประชารัฐ) ซึ่งมีจุดให้บริการกว่า 27,000 แห่งทั่วประเทศ โดยแบ่งการบริหารเป็นสามกลุ่มตามระดับการใช้งาน: หนาแน่น ปานกลาง และต่ำ กระทรวงกำลังทำแผนยกระดับจุดใช้งานสูงด้วยงบประมาณจากกองทุน พร้อมสั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบจุดที่ไม่ถูกใช้งานเพื่อย้ายหรือทดแทนอุปกรณ์ตามความเหมาะสมช นโยบายที่มุ่งจำกัดการลงทุนสูญเปล่าและเพิ่มประสิทธิภาพงบประมาณสาธารณะ

ผลงานเชิงระบบที่ปลัดดีอีภาคภูมิใจคือการผลักดันระบบ e-Document บนคลาวด์กลางภาครัฐ (GDCC) ซึ่งขณะนี้เริ่มใช้งานในกว่า 20 กระทรวงและมีแผนต่อยอดสู่ระบบ ERP สำหรับหน่วยงานรัฐและ SME เขามองว่าแพลตฟอร์มนี้จะเป็น “โครงสร้างพื้นฐานข้อมูล” ที่สำคัญสำหรับการเชื่อมต่อกับเทคโนโลยี AI และการตัดสินใจเชิงนโยบายในอนาคต ลดการพึ่งพากระดาษและเพิ่มความรวดเร็วในการประสานงานข้ามหน่วยงาน

จากมุมมองเชิงนโยบาย สิ่งที่ต้องจับตามองหลังการเกษียณคือ “ความต่อเนื่องของนโยบาย” ในรัฐบาลชุดใหม่ หากการผลักดันกฎหมายและโครงการโครงสร้างพื้นฐานสำคัญเหล่านี้ชะงัก จะเกิดช่องว่างที่อาจส่งผลต่อการพัฒนาศักยภาพดิจิทัลของประเทศ ทั้งในแง่ความมั่นคงของข้อมูล การคุ้มครองผู้บริโภคบนแพลตฟอร์ม และการจัดการโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นสาธารณูปโภค

เขา เสริมว่า การร่างกรอบการกำกับที่สมดุลระหว่างการส่งเสริมธุรกิจและการคุ้มครองสาธารณะ การสร้างกลไกตรวจสอบและมีส่วนร่วมจากภาคประชาสังคม รวมถึงการวางแผนการถ่ายทอดงานเชิงนโยบายอย่างเป็นระบบเมื่อมีการเปลี่ยนผู้บริหาร เพื่อให้โครงการเช่น GDCC และเน็ตสาธารณะ สามารถยืนหยัดต่อไปโดยไม่สะดุด