ดีป้าหนุนไทยเร่งปั้นคนดิจิทัล–AI ฝ่ากับดักเศรษฐกิจม่งสู่ฮับดิจิทัล

ดีป้าวางโรดแมปยกระดับคนไทยสู่ยุค AI หวังพลิกเศรษฐกิจที่ติดหล่มภาษี–ส่งออก ด้วยการลงทุนสร้างทักษะดิจิทัลและเปิดรับ Talent ต่างชาติ เชื่อเทคโนโลยีคือกุญแจลดเหลื่อมล้ำและสร้างจุดยืนใหม่ให้ไทยบนเวทีเศรษฐกิจโลก
KEY
POINTS
- ดีป้าชี้ทางรอดเศรษฐกิจไทยคือการ "ลงทุนในคน" โดยเสนอให้เร่งสร้างบุคลากรด้านดิจิทัลและ AI
- ถือเป็นกลไกหลักในการแก้กับดักเศรษฐกิจและผลักดันประเทศสู่การเป็นศูนย์กลางดิจิทัล
- ตั้งเป้าหมายใน 2 ปี สร้างผู้ใช้งาน AI 10 ล้านคน ผู้เชี่ยวชาญ 90,000 คน และนักพัฒนา 50,000 คน
- ใช้กลยุทธ์ดึงดูดผู้เชี่ยวชาญจากต่างชาติผ่าน "Talent Digital Visa" ควบคู่ไปกับการเร่งพัฒนาคนในประเทศ เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากร
- แรงกดดันทางเศรษฐกิจ ภาษี และการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะจากเวียดนาม แต่ยังมีโอกาสดึงดูดการลงทุนด้านดิจิทัลกว่า 5 แสนล้านบาทผ่านนโยบายภาษี
- แม้จะประสบปัญหาด้านงบประมาณที่ถูกตัดทอน แต่ไทยมีจุดแข็งด้านฐานผู้ใช้อินเทอร์เน็ตขนาดใหญ่และภาคเกษตรกรรมที่แข็งแกร่ง ซึ่งสามารถต่อยอดเพื่อเพิ่มมูลค่าได้
ท่ามกลางแรงกดดันจากเศรษฐกิจโลก ทั้งภาษีดิจิทัล การส่งออกที่ชะลอตัว และเกมภูมิรัฐศาสตร์ ไทยถูกบีบให้ต้องหาทางออกจาก “กับดัก” ทางเศรษฐกิจที่ยืดเยื้อยาวนาน ขณะที่ ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) เสนอแนวทาง “ลงทุนในคน” ผ่านการสร้างบุคลากรด้าน AI และทักษะดิจิทัล เพื่อเป็นกลไกหลักในการยกระดับขีดความสามารถของประเทศ
“หากเรายังเดินตามโมเดลเดิม เศรษฐกิจไทยจะติดกับดักตลอดไป”
ดร.ณัฐพล กล่าวว่า โจทย์ใหญ่วันนี้ ไม่ใช่เพียงการดึงดูดเงินลงทุน แต่คือการสร้าง “ทุนมนุษย์” โดยเฉพาะในด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) สำหรับเป้าหมายใน 2 ปี ไทยต้องมีผู้ใช้งาน AI 10 ล้านคน สร้างผู้เชี่ยวชาญ 90,000 คน และนักพัฒนา 50,000 คน เรากำลังใช้โมเดล Public–Private Partnership มาผลักดันเรื่องนี้ และตั้งสมาคม AI แห่งประเทศไทยเพื่อเป็นกลไกกลางด้านวิจัย พัฒนา และอบรม
ลงทุนในคน–เปิดทาง Talent ต่างชาติ
หนึ่งในกลยุทธ์สำคัญคือการออก Talent Digital Visa เพื่อดึงผู้เชี่ยวชาญ AI จากต่างประเทศเข้ามาร่วมขับเคลื่อน พร้อม ๆ กับการเร่งสร้างบุคลากรในประเทศผ่านหลักสูตร AI ในมหาวิทยาลัยและโครงการอบรมเข้มข้น
“เราไม่สามารถพึ่งแรงงานไทยเพียงอย่างเดียวในระยะสั้น ต้องเปิดรับผู้มีความเชี่ยวชาญจากทั่วโลกเข้ามา ขณะเดียวกันก็เร่งปั้นคนไทยให้ก้าวทัน เพื่อไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางทักษะดิจิทัล”
มาตรการภาษี–จุดแข็งดึงการลงทุนใหม่
ดีป้าเชื่อว่าการปรับลดภาษีในตลาดโลก โดยเฉพาะกรณีสหรัฐฯ เหลือ 19% จะช่วยเร่งการลงทุนในดิจิทัล คลาวด์ ดาต้าเซ็นเตอร์ และ AI ปัจจุบัน BOI อนุมัติการลงทุนกลุ่มนี้แล้วกว่า 5 แสนล้านบาท และมีแนวโน้มขยายสู่ 6–7 แสนล้านบาทในไม่กี่ปี ไทยจึงมีโอกาสยกระดับเป็น “ศูนย์กลางดิจิทัลของภูมิภาค”
อย่างไรก็ตาม เส้นทางไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ดีป้าเสนอของบกว่า 3,000 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2569 แต่ได้รับจัดสรรเพียง 1,300 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้า ซึ่งอาจทำให้หลายโครงการต้องพึ่งงบกลาง
ทั้งนี้ ปัจจุบันมีโครงการ 7 ด้านที่เราผลักดัน ไม่ใช่โครงการซ้ำซ้อน แต่ตอบโจทย์คุณภาพชีวิตคนไทยโดยตรง เช่น Smart City, Smart Ambulance, AI Transformation หรือการทำ Digital Skill Wallet ทั้งหมดนี้คือการลงทุนเพื่ออนาคต ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายสิ้นเปลือง
เศรษฐกิจ–ภาษี–ภูมิรัฐศาสตร์: แรงกดดันรอบด้าน
ดร.ณัฐพล ชี้ว่า เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญความท้าทายรอบด้าน ทั้งการเก็บ VAT จากบริการดิจิทัลข้ามชาติที่ยังต่ำเพียง 3,000 ล้านบาทต่อเดือน ทั้งที่ศักยภาพสูงถึง 70,000 ล้านบาทต่อปี รวมถึงการส่งออกอิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์ที่ถูกกดดันด้วยภาษีสูงขึ้น หากสถานการณ์ยืดเยื้อ GDP ไทยอาจหดตัวถึง 2.5%
ยิ่งไปกว่านั้น ไทยยังถูกบีบจากเกมภูมิรัฐศาสตร์ เมื่อจีนเดินหน้าด้วยโครงการ One Belt One Road และสหรัฐฯ ใช้เวียดนามเป็นฐานการลงทุนในอินโดแปซิฟิก ซึ่งหากเราไม่เร่งวางตำแหน่งใหม่ ไทยอาจเสียเปรียบประเทศเพื่อนบ้านไปอย่างถาวร
สิ่งที่ไทยต้องทำ ไม่ใช่เพียงการรับมือ แต่คือต้อง “สร้างสินค้าใหม่เพื่อลุยตลาดใหม่” เช่น การแปรรูปข้าวเป็นแป้งเพื่อตีตลาดอาหารตะวันตก เป็นการเพิ่มมูลค่าเกษตรพื้นฐานและกระจายรายได้สู่เศรษฐกิจฐานราก
“AI ไม่ใช่เรื่องของเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่มันคือเครื่องมือที่จะช่วยให้คนตัวเล็กในสังคมเข้าถึงโอกาสเท่าเทียมกับคนตัวใหญ่ ลดความเหลื่อมล้ำ และยกระดับคุณภาพชีวิตของทุกคนได้จริง” ดร.ณัฐพล ทิ้งท้าย
ไทยพร้อมแค่ไหนในเกม “สร้างคน AI”
แม้แผนการลงทุนสร้างบุคลากรด้าน AI ของดีป้าจะถูกวางไว้อย่างชัดเจน แต่คำถามใหญ่คือ “ไทยพร้อมจริงหรือไม่” ในการก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางดิจิทัลของภูมิภาค ตรงนี้ต้องพิจารณายุทธศาสตร์ชาติควบคู่ไปด้วย เพราะประเทศไทยมีฐานผู้ใช้อินเทอร์เน็ตกว่า 60 ล้านคน และประชากรส่วนใหญ่คุ้นชินกับการใช้แพลตฟอร์มดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นโซเชียลคอมเมิร์ซ อีเพย์เมนต์ หรือบริการออนไลน์ต่าง ๆ ซึ่งถือเป็นข้อได้เปรียบ เพราะทำให้การผลักดัน AI เข้าสู่ชีวิตประจำวันสามารถทำได้เร็วกว่าในหลายประเทศ
อย่างไรก็ตาม งบประมาณที่จำกัดเป็นข้อจำกัดใหญ่ หากเปรียบเทียบกับสิงคโปร์ที่ลงทุนด้าน AI และ Deep Tech มากกว่าปีละ 1 แสนล้านบาท ไทยยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่ามาก ขณะเดียวกัน ระบบการศึกษายังปรับตัวช้า หลักสูตรด้านดิจิทัลยังไม่สอดคล้องกับความต้องการของภาคธุรกิจจริง ทำให้เกิดช่องว่างด้านแรงงานที่ยากจะปิดได้ทันที
เวียดนาม–คู่แข่งใกล้ตัว
ประเทศที่ไทยต้องจับตาอย่างใกล้ชิดคือเวียดนาม เพราะกำลังได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ ในฐานะฐานการผลิตใหม่ทดแทนจีน แถมยังมีนโยบายชัดเจนในการพัฒนาแรงงานด้านดิจิทัล ทำให้สัดส่วนการส่งออกต่อ GDP สูงถึง 90% ในขณะที่ไทยยังไม่ถึง 60% หากไทยไม่เร่งสร้างบุคลากรและอุตสาหกรรมใหม่ อาจถูกเวียดนามแซงหน้าอย่างถาวรในตลาดเทคโนโลยี
โอกาส–เชื่อมฐานการผลิตกับฐานเกษตร
จุดที่ไทยยังมีความได้เปรียบคือการเป็น “ประเทศเกษตร” ที่สามารถใช้ AI และดิจิทัลเข้าไปเพิ่มมูลค่าได้ทันที เช่น การใช้ Traceability ยกระดับมาตรฐานส่งออก หรือการใช้ AI ในการแปรรูปข้าว มันสำปะหลัง และผลไม้ นี่คือโอกาสที่จะทำให้เศรษฐกิจฐานรากก้าวสู่เศรษฐกิจโลกอย่างมีมูลค่าเพิ่ม
ดังนั้น หากไทยต้องการหลุดพ้นจากกับดักเศรษฐกิจและภาษี การ “ลงทุนในคน” ผ่านการสร้างบุคลากรด้าน AI ไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็น “ทางรอด” ที่จำเป็น
แต่ความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับ 3 เงื่อนไขหลัก คือ งบประมาณที่เพียงพอ ระบบการศึกษาที่ตอบโจทย์ และการกำหนดจุดยืนชัดเจนว่าประเทศไทยจะเป็นผู้นำด้านใดในเศรษฐกิจดิจิทัลโลก







