หรือจะเป็นได้แค่ Data Center Landlord? | ก้าวไกลวิสัยทัศน์

หรือจะเป็นได้แค่ Data Center Landlord? | ก้าวไกลวิสัยทัศน์

การเมืองเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอย่างไรก็ตาม ยังมีเรื่องดีๆที่เดินหน้าไปอย่างช้าๆ คือ บ้านเราจะมี Data Center เกิดขึ้นหลายแห่งในอีกสามสี่ปีข้างหน้า ทั้งจากยักษ์ใหญ่อย่างกูเกิล

ที่เป็นข่าวใหญ่โตว่าจะลงทุนร่วม 1 พันล้านดอลลาร์ สร้างงานปีละกว่าหมื่นคนต่อเนื่องไปจนถึงปี 2029 มีการประกาศขยายงานของ AWS อีกประมาณ 5 พันล้านดอลลาร์ 

ผู้ลงทุนจากเมืองจีนจะมาสร้าง Data Center ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าสูงถึง 300 MW ถ้าจะดูกันว่าใหญ่แค่ไหน เขาให้ดูจำนวนไฟฟ้าที่ใช้ ผู้ลงทุนไทยก็จะสร้างขนาด 35 MW มีจากสิงคโปร์ที่ขนาดเล็กลงมาหน่อยใช้ไฟฟ้า 12 MW

แล้วยังมีอีกเกือบ 50 โครงการที่เป็น Data Center บ้าง Cloud Service บ้าง เงินลงทุนโครงการเหล่านี้คาดว่าจะประมาณ 2,700 ล้านดอลลาร์ ไม่รวมพื้นที่ EEC ที่ว่ากันว่าจะลงทุนกันเรื่องนี้ถึง 6,500 ล้านดอลลาร์ในอีก 2 ปีข้างหน้า

รวมแล้วจะเสมือนมี Data Center ขนาดกำลังไฟฟ้ามากกว่า 650 MW ซึ่งถ้าเป็นจริงตามนี้ บ้านเราคงเต็มไปด้วย Data Center และ Cloud Service

บ้านเราอย่างน้อยที่สุดก็จะเป็น Landlord ให้กับ Data Center ขายไฟฟ้ากันได้เยอะแยะ ระหว่างก่อสร้างในช่วงสองสามปีก็มีงานโยธากันมากพอดู พอสร้างเสร็จก็มีงานดำเนินการอีกนับร้อยคน

แม้ว่าการดำเนินการ Data center ใช้คนท้องถิ่นไม่มากนัก เพราะงานสลับซับซ้อนต่างๆ ทำข้ามประเทศผ่านอินเทอร์เน็ตได้ไม่ยาก ถ้าเป็นแค่ Landlord คงได้การงานใหม่ๆ ไม่มากนัก

พวกเรากว่า 62% ที่ใช้ Genertive AI ในชีวิตและการงาน ที่ว่ากันว่ามากจนติดอันดับโลก อาจจะรู้สึกนิดหน่อยว่าใช้งานได้เร็วขึ้น จากอานิสงส์ของการลดดีเลย์ในการติดต่อที่เดิมมาจากแดนไกล ให้อยู่ใกล้ในบ้านเรา

จะทำอย่างไรกันดีให้เราได้มากกว่าค่าจ้างแรงงานก่อสร้าง ค่าไฟฟ้า ค่าจ้างพนักงานเพื่อทำงานพื้นฐานสารพัดอย่างใน Data Center ซึ่งมีจำนวนและผลตอบแทนไม่มากนัก

Cloud Service ที่มากับ Data Center ถ้าไม่แคร์ว่าข้อมูลจะไปอยู่บน Cloud Services ที่อยู่ที่ไหนในโลกนี้ และงานที่ทำไม่ใช่งานที่ต้องการการตอบสนองอย่างรวดเร็ว แบบที่เรียกกันว่า Real Time นั้น Data Center จะอยู่ที่ไหน ไม่มีอะไรขัดข้อง งานดิจิทัลสารพัด ยกเว้นพวก IoT Telemedicine ใช้ได้เหมือนกันหมด ไม่ว่า Data Center จะอยู่ห่างไกลออกไปแค่ไหน อยู่ใกล้ อยู่ไกลไม่สำคัญ 

แต่ในวันที่ข้อมูลมีความสำคัญกับสารพัดเรื่องในประเทศ ก็เริ่มมีการกำหนดกันว่า ข้อมูลของประเทศฉัน ห้ามเอาไปเก็บไว้นอกประเทศ ถ้าประเทศไหนมีข้อกำหนดกันทำนองนี้ Data Center ก็ต้องอยู่ในประเทศนั้น

เพียงแค่กำหนดกฎกติกาเรื่องข้อมูลต้องอยู่ในประเทศ คงไม่เพียงพอที่คนบ้านเราจะได้การงานที่ผลตอบแทนสูงๆ

จากการที่เราเป็น Data Center Landlord ต้องส่งเสริมการงานดิจิทัลที่ต้องการการตอบสนองอย่างรวดเร็วให้มีมากขึ้น ส่งเสริม IoT กันอย่างจริงจัง พัฒนา IoT ผนวกเข้ากับระบบอัตโนมัติในทั้งภาคอุตสาหกรรมและบริการต่างๆ

สร้างแอป AR VR กันให้มากขึ้น เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว การศึกษา หรือกิจการบันเทิง สร้างงานที่ใช้ Digital Twins ในหลากหลายวงการงานทั้งการแพทย์ ทั้งอุตสาหกรรม แอปเหล่านี้จะทำงานรวดเร็วแตกต่างกันมาก 

ระหว่างการใช้งาน Cloud Service ใน Data Center ที่อยู่ในประเทศและที่อยู่ไกลไปในต่างแดน งานใหม่ๆ จะเกิดขึ้นและเป็นงานที่มีผลการตอบแทนสูง ทำงานเหล่านี้แล้ว ถ้าเก่งจริง ก็ผาดโผนไปทำงานในบ้านอื่นเมืองอื่นได้อีก

อีกอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นในบางประเทศ ตามหลังจากการมี Data Center และ Cloud Service คือ การดึงดูดผู้ประกอบการดิจิทัลทั้งระดับโลกและท้องถิ่น ให้เข้ามารวมตัวกันในพื้นที่ใกล้เคียง

เพราะมีบริการโครงสร้างพื้นฐานทั้งด้านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ไฟฟ้า ประปา การดูแลความมั่นคงปลอดภัย ตลอดจนกระทั่งมาตรการส่งเสริมการลงทุนที่มีไว้สนับสนุนกิจการที่สืบเนื่องมาจาก Data Center

การเป็น Landlord สำหรับตั้ง Data Center ได้บางอย่างสำหรับคนบางคน แต่จะทำให้ผู้คนจำนวนมากได้อานิสงส์ไปด้วย ต้องมีความริเริ่มและความจริงจังในอีกหลายเรื่องเพิ่มเติมขึ้นมา ซึ่งไม่รู้ว่าเดินหน้ากันแค่ไหนแล้ว?.