'สกาย ไอซีที' ชูเทคโนโลยีอัจฉริยะ ปฏิวัติสนามบินไทยสู่ฮับการบิน

'สกาย ไอซีที' ชูเทคโนโลยีอัจฉริยะ ปฏิวัติสนามบินไทยสู่ฮับการบิน

สกาย ไอซีที มองรัฐบาลต้องสร้างเสถียรภาพทางการเมืองและออกนโยบายเชิงรุก ย้ำอุตสาหกรรมการบิน–ท่องเที่ยวคือหัวใจเศรษฐกิจไทย เสนอปรับกฎหมายการบินล้าสมัย–ดันค่าธรรมเนียม PSC สู่มาตรฐานสากล พร้อมใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะยกระดับประสบการณ์นักเดินทาง

KEY

POINTS

  • การนำเทคโนโลยีอัจฉริยะมาใช้ เช่น ระบบจดจำใบหน้า (Facial Recognition) และซอฟต์แวร์วิเคราะห์การไหลของผู้โดยสาร เพื่อเพิ่มความเร็ว ความปลอดภัย และยกระดับประสบการณ์ในสนามบินให้ทัดเทียมนานาชาติ
  • การขยายโครงสร้างพื้นฐานครั้งใหญ่ ทั้งการเพิ่มขีดความสามารถของสนามบินสุวรรณภูมิและขยายฝูงบินของการบินไทย เพื่อสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งสู่การเป็นศูนย์กลางการบิน (Aviation Hub) ของโลก
  • ข้อเสนอให้ปรับขึ้นค่าธรรมเนียมผู้โดยสารขาออก (PSC) เพื่อนำรายได้มาลงทุนพัฒนาสนามบินและเทคโนโลยีโดยตรง ทำให้สามารถยกระดับบริการได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องพึ่งพางบประมาณรัฐ
  • การผลักดันให้ปฏิรูปกฎหมายการบินที่ล้าสมัย เพื่อปลดล็อกข้อจำกัดและส่งเสริมการแข่งขันเชิงพาณิชย์ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการทำให้ไทยสามารถแข่งขันในเวทีโลกได้
  • การเชื่อมโยงการพัฒนาสนามบินเข้ากับยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ โดยใช้เทคโนโลยีและบริการที่ทันสมัยเป็นเครื่องมือดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มเป้าหมายที่มีกำลังซื้อสูง

ในภาวะที่เศรษฐกิจโลกผันผวนและการเมืองไทยยังอยู่ในช่วงเปราะบาง สิ่งสำคัญที่สุดคือเราต้องมีรัฐบาลที่มั่นคง นายสิทธิเดช มัยลาภ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) หรือ กล่าวว่า เสถียรภาพทางการเมืองคือปัจจัยชี้ขาดที่ภาคเอกชนรอคอย เพราะจะทำให้แผนงานด้านเศรษฐกิจและการลงทุนเดินหน้าได้อย่างมีทิศทาง

เขาเน้นว่า ภาครัฐต้องไม่เพียงแต่สร้างบรรยากาศความเชื่อมั่น แต่ยังควรกำหนดนโยบายชัดเจนในการสนับสนุนเอกชน โดยเฉพาะการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งจะเป็นหัวใจสำคัญของการยกระดับศักยภาพการแข่งขันประเทศ

ปรับกฎหมายการบิน – ขจัดข้อจำกัดเก่า

นายสิทธิเดช อธิบายว่า อุตสาหกรรมการบินและท่องเที่ยวคือเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจ แต่กฎหมายที่ใช้กำกับยังล้าหลัง “พระราชบัญญัติการบินอากาศที่ร่างก่อนปี 2500 เน้นเรื่องความมั่นคงของชาติ แต่ไม่ตอบโจทย์การค้าในโลกยุคใหม่ที่แข่งขันกันสูง”

เขาเสนอให้แก้ไขกฎระเบียบให้ยืดหยุ่นและเอื้อต่อการแข่งขันเชิงพาณิชย์ พร้อมเร่งปรับขั้นตอนการอนุมัติการจัดซื้อเครื่องบินใหม่ของสายการบินไทยที่ใช้เวลาหลายเดือน จนเสียโอกาสในการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน สิงคโปร์มีฝูงบินมากกว่าไทยหลายเท่า ทั้งที่เราเป็นประเทศท่องเที่ยวระดับโลก นี่คือสัญญาณว่าเรายังมีข้อจำกัดเชิงโครงสร้าง

“เทคโนโลยีไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่คือหัวใจในการยกระดับสนามบินไทยให้แข่งขันได้ในระดับโลก” 

ขยับค่าธรรมเนียม PSC – ยกระดับสนามบินไทย

อีกประเด็นที่ซีอีโอสกาย ไอซีที ชี้ชัดคือการปรับค่าธรรมเนียมผู้โดยสารขาออก (Passenger Service Charge: PSC) จาก 730 บาท ซึ่งต่ำกว่ามาตรฐานภูมิภาคอย่างมาก ดังนั้น ถ้าเราปรับใกล้เคียงสิงคโปร์ที่เก็บราว 1,300 บาท หรือฮ่องกง 1,500 บาท เงินที่เพิ่มขึ้นจะกลับมาใช้ลงทุนพัฒนาสนามบิน ระบบรักษาความปลอดภัย และเทคโนโลยีใหม่ ๆ โดยไม่ต้องพึ่งพางบประมาณรัฐ

เขาเชื่อว่ามาตรการนี้จะช่วยให้ไทยก้าวสู่มาตรฐานสากลด้านบริการสนามบิน และยังสร้างความพร้อมสำหรับการเป็นศูนย์กลางการเดินทางในภูมิภาค

ท่องเที่ยวไทย – จาก “ปริมาณ” สู่ “คุณภาพ”

เมื่อพูดถึงอุตสาหกรรมท่องเที่ยว นายสิทธิเดชมองว่า ปัญหาด้านความปลอดภัยยังเป็นเงื่อนไขใหญ่ โดยเฉพาะกับตลาดจีนที่จำนวนนักท่องเที่ยวลดลงกว่า 30% แต่ไทยยังมีข้อได้เปรียบด้าน Wellness เช่น สปา นวดไทย ร้านอาหาร และแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม–ธรรมชาติ

“เราต้องเปลี่ยนยุทธศาสตร์จากการเน้นปริมาณนักท่องเที่ยว มาโฟกัสกลุ่มคุณภาพที่ใช้จ่ายสูงกว่า และอยู่นานกว่า” เขากล่าว พร้อมเสนอใช้แอปพลิเคชัน SAWASDEE by AOT ที่ สกาย ไอซีที พัฒนาขึ้นเป็นแพลตฟอร์มหลักในการนำเสนอข้อมูลท่องเที่ยว บริการจองกิจกรรม และเชื่อมโยงผู้ประกอบการไทยสู่ตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติ

โครงสร้างพื้นฐาน – จุดแข็งที่รอการต่อยอด

ไทยกำลังขยายขีดความสามารถด้านการบินอย่างมีนัยสำคัญ นายสิทธิเดชชี้ว่า สนามบินสุวรรณภูมิซึ่งรองรับได้ 45 ล้านคนต่อปี จะเพิ่มศักยภาพอีก 35 ล้านคนภายใน 3 ปี จากการเปิดอาคาร Satellite 1 และโครงการ East Expansion รวมเป็น 80 ล้านคนต่อปี “เมื่อบวกกับรันเวย์ใหม่ 3 เส้นที่รองรับได้ 90 เที่ยวบินต่อชั่วโมง เรามีโอกาสขึ้นแท่น Transit Hub ของโลกได้จริง”

ขณะเดียวกัน การบินไทยก็มีแผนเพิ่มฝูงบินเป็น 90 ลำภายในปี 2569 แม้ยังน้อยกว่า Singapore Airlines ที่มี 177 ลำและเตรียมขยายเป็น 200 ลำ แต่ถือเป็นก้าวที่สำคัญของการกลับมาแข่งขันในระดับภูมิภาค อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังอยู่ที่การขนส่งสินค้า เพราะสุวรรณภูมิรองรับได้เพียง 1.5 ล้านตันต่อปี ต่ำกว่าฮ่องกง (5 ล้านตัน) และสิงคโปร์ (2 ล้านตัน)

เทคโนโลยีอัจฉริยะ – หัวใจของสกาย ไอซีที

ในบทบาทผู้ให้บริการเทคโนโลยี นายสิทธิเดช เล่าถึงการนำ Facial Recognition มาใช้ในทุกสนามบินของ AOT ตั้งแต่ 1 ธันวาคม 2567 เพื่อเพิ่มความเร็วและความปลอดภัยในการเดินทาง นอกจากนี้ยังมี Smart Flow ซอฟต์แวร์วิเคราะห์การไหลของผู้โดยสาร ที่ช่วยลดเวลารอคิวเช็กอินจาก 45 นาที เหลือ 35–40 นาที

“เทคโนโลยีเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่คือการสร้างประสบการณ์ที่ดีกว่าให้ผู้โดยสาร และทำให้สนามบินไทยทัดเทียมคู่แข่ง” เขากล่าว

ไทยต้องรีบเร่งเครื่องก่อนถูกแซง

แม้สกาย ไอซีที จะกระจายฐานลูกค้าระหว่างรัฐและเอกชน แต่ซีอีโอยอมรับว่า ในภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว การลงทุนภาคเอกชนมักหดตัว จึงยิ่งทำให้บทบาทของภาครัฐสำคัญต่อการขับเคลื่อนประเทศ

“เวียดนามกำลังเร่งเครื่องทั้งการบินและการท่องเที่ยว พร้อมทั้งบุคลากรและเทคโนโลยี หากไทยยังไม่มีโครงการใหญ่ที่ชัดเจน เราอาจถูกคู่แข่งแซงได้ไม่ยาก”

เขาทิ้งท้ายว่า การผลักดันอุตสาหกรรมการบินและท่องเที่ยวให้เติบโต ไม่เพียงแต่สร้างรายได้มหาศาล แต่ยังเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจทุกมิติ “นี่คือเวลาที่ไทยต้องตัดสินใจว่าจะเป็นผู้นำ หรือปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไป”