ส่องเทคโนโลยีดาวเทียมอวกาศ–AI ทางรอดใหม่รับมือฝุ่นพิษ PM2.5

กรมควบคุมมลพิษ-วว.–ไทยคม จับมือพัฒนาแพลตฟอร์มคาดการณ์คุณภาพอากาศด้วยดาวเทียมและ AI ช่วยคาดการณ์ฝุ่นล่วงหน้า 7 วัน เสริมการตัดสินใจเชิงนโยบาย ยกระดับการจัดการมลพิษสู่ความยั่งยืน
KEY
POINTS
- การลงนาม MOU ของ 3 หน่วยงาน ก็เพื่อพัฒนา “แพลตฟอร์มการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศ” โดยใช้เทคโนโลยีดาวเทียมและ AI
- แพลตฟอร์มดังกล่าวจะใช้ข้อมูลจากดาวเทียมสำรวจโลกผนวกกับข้อมูลอุตุนิยมวิทยาและค่ามลพิษภาคพื้นดิน มาประมวลผลด้วย AI เพื่อคาดการณ์พื้นที่เสี่ยงฝุ่น PM2.5 ได้ล่วงหน้า 7 วัน
- เป้าหมายสำคัญคือการเปลี่ยนแนวทางการรับมือจาก "การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า" ไปสู่ "การบริหารจัดการเชิงรุก" ทำให้สามารถเตือนภัยและออกมาตรการควบคุมได้แม่นยำและทันท่วงที
- ข้อมูลเชิงลึกจากระบบนี้จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการผลักดันร่าง พ.ร.บ.การบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด เพื่อให้ภาครัฐมีฐานข้อมูลที่น่าเชื่อถือในการกำหนดนโยบาย
- โครงการนี้เป็นการยกระดับบทบาทของเทคโนโลยีอวกาศและดาวเทียม จากเดิมที่ใช้เพื่อการสื่อสาร มาสู่การมีส่วนร่วมแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยตรง
ฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน หรือ ฝุ่น PM2.5 กลายเป็นวิกฤติด้านสิ่งแวดล้อมที่ไทยเผชิญซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยเฉพาะในช่วงต้นปีเมื่อปรากฏ"ค่าฝุ่น"พุ่งสูงจนหลายจังหวัดติดอันดับเมืองอากาศแย่ที่สุดในโลก ผลกระทบไม่เพียงทำร้ายสุขภาพ แต่ยังสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจ ทั้งการท่องเที่ยว การเกษตร และค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุข ปัญหานี้ตอกย้ำว่าการแก้ไขเชิงรับเพียงอย่างเดียวไม่พอ ประเทศไทยจำเป็นต้องมีเครื่องมือวิเคราะห์และคาดการณ์เชิงรุกเพื่อบริหารสถานการณ์อย่างเป็นระบบ
ล่าสุด กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) และบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อร่วมพัฒนา “แพลตฟอร์มการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศ” ที่ใช้เทคโนโลยีดาวเทียมควบคู่กับปัญญาประดิษฐ์ (AI) และข้อมูลข้ามศาสตร์ ถือเป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนถึงการนำเทคโนโลยีอวกาศมาเชื่อมกับนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม
จากข้อมูลสู่การตัดสินใจเชิงนโยบาย
ความร่วมมุ่งหมายหลักคือการสร้างแบบจำลองคาดการณ์ ฝุ่น PM2.5 โดยใช้ข้อมูลดาวเทียมสำรวจโลกผนวกกับข้อมูลอุตุนิยมวิทยาและค่ามลพิษที่ตรวจวัดจากสถานีภาคพื้นดิน ก่อนนำมาประมวลด้วย AI/ML เพื่อคาดการณ์พื้นที่เสี่ยงได้ล่วงหน้า 7 วัน แพลตฟอร์มนี้สามารถระบุระดับความเข้มข้นของฝุ่นในเชิงพื้นที่ ทำให้การเตือนภัยและออกมาตรการควบคุมมีความแม่นยำยิ่งขึ้น
นางสาวปรีญาพร สุวรรณเกษ อธิบดี คพ. มองว่า ข้อมูลเชิงลึกจากระบบนี้จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการผลักดันร่าง พ.ร.บ.การบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณา เนื่องจากการมีฐานข้อมูลที่เชื่อถือได้ จะช่วยให้ภาครัฐกำหนดมาตรการเชิงรุกได้ทันเวลา และประชาชนสามารถเตรียมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น
โมเดลการใช้วิทยาศาสตร์เชิงระบบ
ผศ.ดร.วีรชัย อาจหาญ ผู้ว่าการ วว. อธิบายว่า การแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ต้องอาศัย “ระบบนิเวศข้อมูล” ที่บูรณาการจากหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นรัฐ เอกชน หรือชุมชน เพื่อให้ได้แบบจำลองที่แม่นยำและนำไปใช้ได้จริง วว.จึงวางเป้าหมายให้มีการพัฒนาโครงการนำร่องในพื้นที่วิกฤติ ก่อนขยายผลสู่ภูมิภาคอื่น เพื่อสร้างต้นแบบการจัดการปัญหามลพิษที่ยั่งยืน พร้อมเชื่อมโยงกับเป้าหมายเศรษฐกิจหมุนเวียนและการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ
นวัตกรรมกิจกาาอวกาศเพื่อสิ่งแวดล้อม
ไทยคม ในฐานะผู้ให้บริการดาวเทียมรายใหญ่ของไทย ได้นำความเชี่ยวชาญด้านอวกาศเข้าสู่สนามแก้ปัญหาสังคม
นายปฐมภพ สุวรรณศิริ ซีอีโอไทยคม ระบุว่า การวิเคราะห์ข้อมูลจากดาวเทียมร่วมกับ AI จะทำให้ทั้งหน่วยงานรัฐและประชาชนเข้าถึงข้อมูลการเฝ้าระวังได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถือเป็นการยกระดับบทบาทของเทคโนโลยีอวกาศจากธุรกิจการสื่อสาร สู่การมีส่วนร่วมในประเด็นสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยตรง
ความท้าทายใหม่ของประเทศไทย
แม้จะมีเครื่องมือใหม่ แต่การแก้ปัญหาฝุ่นละอองยังต้องเผชิญกับปัจจัยซับซ้อน ทั้งการเผาในพื้นที่เกษตร การขนส่งในเมืองใหญ่ และการปล่อยมลพิษจากภาคอุตสาหกรรม ข้อมูลจาก Green Peace ระบุว่า ไทยมีผู้เสียชีวิตก่อนวัยอันควรจากมลพิษทางอากาศกว่า 14,000 รายต่อปี สะท้อนถึงต้นทุนที่ประเทศต้องจ่ายสูงอย่างยิ่ง หากปราศจากมาตรการจัดการที่จริงจัง
จากความร่วมมือดังกล่าวนี้ จึงเป็นมากกว่าการลงนาม MOU แต่เป็นการเปลี่ยนแนวทางรับมือจาก “การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า” สู่ “การบริหารจัดการเชิงรุก” ผ่านข้อมูลและเทคโนโลยี นี่คือทิศทางที่หลายประเทศเริ่มเดิน และไทยกำลังลงมือทำในช่วงเวลาที่วิกฤติฝุ่น PM2.5 เข้มข้นที่สุด
การใช้เทคโนโลยีอวกาศและ AI เพื่อสิ่งแวดล้อมจึงอาจไม่ใช่เพียงโครงการชั่วคราว แต่คือจุดเริ่มต้นของการปฏิรูประบบจัดการคุณภาพอากาศของไทยในระยะยาว







