อินฟลูเอนเซอร์ กระจกสะท้อนความอ่อนแอสังคมไทยในยุคดิจิทัล

ในยุคดิจิทัลที่ทุกคนสามารถมีพื้นที่สื่อของตนเอง ผู้มีอิทธิพลทางความคิดหรือที่เรียกติดปากกันไปแล้วว่าอินฟลูเอนเซอร์จำนวนมากได้กลายเป็นผู้เล่นสำคัญในสังคมออนไลน์
อำนาจของพวกเขาไม่ได้มาจากตำแหน่งทางการจากสถาบันใด ๆ แต่เพราะจำนวนผู้ติดตามและความเชื่อมั่นที่ผู้คนมอบให้ คำพูดเพียงไม่กี่บรรทัดหรือโพสต์เดียว จึงสามารถสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ปัญหาที่ตามมาคือ อินฟลูเอนเซอร์บางคนใช้พื้นที่และอิทธิพลโดยขาดการคิดวิเคราะห์ มุ่งสร้างกระแสเพื่อรายได้ ยอดไลก์และชื่อเสียง พวกเขาอาจใช้ถ้อยคำเร้าอารมณ์ แชร์ข้อมูลที่ไม่ได้ตรวจสอบ หรือหยิบยกประเด็นอ่อนไหวมาเรียกความสนใจ
แม้สิ่งเหล่านี้จะสร้างรายได้และความนิยม แต่สังคมกลับได้รับผลกระทบเป็นความแตกแยก ความเกลียดชัง และการบั่นทอนความไว้วางใจในสถาบันต่าง ๆ
อินฟลูเอนเซอร์บางรายสร้างภาพลักษณ์เกินจริง ใช้วาทกรรมและเรื่องเล่าทำให้ตนเองดูเหมือน “ผู้วิเศษ” หรือผู้รู้เหนือคนอื่น ตลอดจนพยายามจะตั้งตำแหน่งนำหน้าชื่อ หรือฉายาต่อท้ายชื่อให้ฟังดูมีตัวตนยิ่งขึ้น เช่น “ทนาย” “หมอ”(ทั้งที่ไม่ได้เป็นแพทย์) จนผู้ติดตามจำนวนมากหลงเชื่อศรัทธา
การสวมบทบาทเช่นนี้บางครั้งเป็นไปเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง หรือแม้แต่ทางจิตวิญญาณ ด้วยการรู้จัก “เล่น” กับสิ่งที่สังคมโหยหา ผลลัพธ์คือประชาชนบางส่วนเลือกเชื่อบุคคลมากกว่าข้อเท็จจริง ซึ่งเป็นอันตรายต่อวัฒนธรรมการคิดอย่างมีเหตุผลและสะท้อนความอ่อนแอของสังคมอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตาม ยังมีอินฟลูเอนเซอร์จำนวนไม่น้อยที่ใช้พลังของตนอย่างสร้างสรรค์ เช่น การช่วยระดมทุนเพื่อผู้ประสบภัย เผยแพร่ความรู้ด้านสุขภาพ การศึกษา หรือสิ่งแวดล้อม และเปิดพื้นที่พูดคุยอย่างมีเหตุผล คนเหล่านี้สมควรได้รับคำยกย่อง เพราะพิสูจน์ว่าอิทธิพลบนโลกออนไลน์สามารถเป็นพลังเชิงบวกที่ขับเคลื่อนสังคมได้จริง
เมื่อมองลึกลงไป ปัญหาไม่ได้เกิดจากตัวอินฟลูเอนเซอร์เพียงฝ่ายเดียว แต่ยังเกี่ยวข้องกับโครงสร้างของสังคมออนไลน์ที่มักให้รางวัลกับเนื้อหาที่กระตุ้นอารมณ์ ยิ่งมีไลก์ แชร์หรือคอมเมนต์มาก อินฟลูเอนเซอร์ก็ยิ่งได้รับผลตอบแทนทั้งด้านรายได้และชื่อเสียง ทำให้การสื่อสารที่เร้าใจและไวรัลถูกผลักขึ้นมาอยู่แถวหน้า
ขณะเดียวกันปัญหายังเกี่ยวข้องกับการสื่อสารของรัฐบาลและสถาบันสาธารณะที่อ่อนแอ ล่าช้า ไม่ทันสถานการณ์ และบางครั้งก็ขาดความโปร่งใส จนประชาชนไม่อาจเชื่อมั่นหรือรู้สึกว่าพึ่งพาได้ ผลลัพธ์คือการหันไปพึ่งพาอินฟลูเอนเซอร์ที่ตอบสนองได้รวดเร็วและชัดเจนกว่า กลายเป็น“อำนาจ” ในการสื่อสารตกอยู่ในมือคนไม่กี่คน
ปัญหาที่ควรจะขบคิดคือ ขณะที่อินฟลูเอนเซอร์ได้รับรายได้และชื่อเสียง สังคมได้อะไรกลับคืนมา หากสิ่งที่เหลือไว้คือความโกรธ ความหวาดระแวง และความแตกแยก ก็นับว่าเป็นความไม่สมดุลอย่างยิ่ง
แต่หากอิทธิพลถูกใช้เพื่อสร้างการเรียนรู้ กระตุ้นให้ตั้งคำถาม และช่วยให้คนเข้าถึงข้อมูลถูกต้อง ผลลัพธ์ก็เป็นพลังสร้างสรรค์ที่สังคมต้องการ
การแก้ปัญหาเพื่อให้สังคมได้รับประโยชน์จากอินฟลูเอนเซอร์สามารถดำเนินการได้หลายระดับ ตั้งแต่ระดับอินฟลูเอนเซอร์ ที่ต้องตระหนักว่าอำนาจคำพูดมาพร้อมความรับผิดชอบ การตรวจสอบข้อเท็จจริงควรเป็นเรื่องปกติเช่นเดียวกับนักข่าว และควรหลีกเลี่ยงการใช้ถ้อยคำปลุกปั่นหรือสร้างความเกลียดชัง
ระดับผู้ติดตามและสังคม ประชาชนต้องพัฒนาทักษะ “รู้เท่าทันสื่อ” ไม่เชื่อทุกสิ่งทันที หากแต่ต้องตั้งสติและยับยั้งชั่งใจว่าสิ่งไหนแท้สิ่งไหนปลอม ไม่ต่างกับที่ต้องตั้งสติเมื่อมีมิจฉาชีพโทรมาหลอกลวง
ถามตัวเองเสมอว่า ข้อมูลมาจากไหน มีหลักฐานรองรับหรือไม่ และถ้าแชร์ต่อจะสร้างประโยชน์หรือโทษต่อใครหรือควรเป็นกิจของเราหรือไม่ การตั้งคำถามเชิงวิพากษ์เหล่านี้จะช่วยลดอำนาจการชี้นำเกินควร หลีกเลี่ยงการตกเป็นเหยื่อจากความอ่อนแอในการรับสาร
ระดับรัฐและสถาบันสาธารณะ ภาครัฐต้องพัฒนากลไกการสื่อสารเชิงรุกให้ประชาชนเข้าถึงง่าย การปล่อยให้ข่าวสารอย่างเป็นทางการออกมาล่าช้า สะท้อนความอ่อนแอภาครัฐที่ทำให้ประชาชนหันไปเชื่อเสียงอื่นที่อาจไม่ถูกต้อง สถาบันสาธารณะต้องทำให้ความยุติธรรมเข้าถึงได้สำหรับทุกคน เพื่อให้ประชาชนไม่เพียงได้รับ แต่ยัง “รู้สึกได้” ว่าตนมีสิทธิที่จะได้รับความยุติธรรมอย่างแท้จริง พร้อมทั้งสร้างความไว้ใจอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เพียงตอบสนองเฉพาะบางกรณี
นอกจากนี้ยังควรพิจารณากำหนดแนวทางหรือจรรยาบรรณกลางสำหรับผู้ที่มีอิทธิพลทางสื่อ เพื่อยกระดับมาตรฐานการสื่อสารในสังคม รวมทั้งมีบทลงโทษชัดเจน ที่สำคัญคือ ต้องรวดเร็วและทันกาลเสมอ
ทั้งหมดนี้นำไปสู่คำถามเชิงสังคมที่เราทุกคนต้องตอบให้ได้ว่า ในยุคที่ใครก็สามารถกลายเป็นผู้มีอิทธิพลทางความคิดได้นั้นเราจะเลือกเชื่ออย่างไร และจะใช้อำนาจของการกดไลก์ แชร์ หรือกดติดตามอย่างมีความรับผิดชอบอย่างไร อินฟลูเอนเซอร์ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย แต่เป็น “กระจกสะท้อนสังคม” ว่าเรายอมรับและให้ค่ากับการสื่อสารแบบใด
หากสังคมยังให้รางวัลแก่เนื้อหาที่เร้าอารมณ์แต่ไร้ข้อเท็จจริง อินฟลูเอนเซอร์ก็จะผลิตซ้ำสิ่งนั้นที่จะสะท้อนค่านิยมผิดๆ และความอ่อนแอของสังคม แต่หากสังคมมีสติ ยกย่องผู้ที่สื่อสารอย่างมีเหตุผล รอบคอบ และจริงใจ อินฟลูเอนเซอร์ก็จะปรับตัวและกลายเป็นพลังสร้างสรรค์ได้
คำถามสุดท้ายที่เราทุกคนไม่เว้นแม้แต่หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องควรจะต้องคิดคือ เราจะช่วยกันสร้างสังคมดิจิทัลที่ให้รางวัลกับความจริง จรรยาบรรณ และความรับผิดชอบในฐานะผู้ส่งสาร เพื่อนำไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของคนในสังคมให้เท่าทันสื่ออยู่เสมอด้วยกลไกอะไร อย่างไร
หรือจะยังให้ค่ากับอินฟลูเอนเซอร์ที่บางครั้งไม่ได้สนใจ “สารที่จะสื่อ” แค่อยากจะ “สื่อสาร”เท่านั้น







