AI เสริมความคิด ไม่ใช่เสพติด AI | ก้าวไกลวิสัยทัศน์

ก่อนยุคสมาร์ตโฟน เราต้องจดจำหมายเลขโทรศัพท์ผู้คนที่เราติดต่ออยู่เป็นประจำ ต้องกดหมายเลขเพื่อเริ่มต้นการติดต่อได้ พอมีสมาร์ตโฟน เราแทบจะเลิกจำหมายเลขโทรศัพท์ของคนอื่น เพราะบอกชื่อไปสมาร์ตโฟนก็ติดต่อให้เลย
ก่อนยุคกูเกิล เรามีทักษะการสืบค้นและจดจำสาระต่างๆ มากกว่าที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน พอมี Google Effect เราเลิกจดจำสาระที่เป็นรายละเอียด อยากรู้รายละเอียดเรื่องใดเมื่อไหร่ ก็กูเกิลดูกันได้แทบจะทันที จนกูเกิลกลายเป็น “อาจารย์กู” สำหรับบางคนไปเลย
เราเลิกจดจำสาระ แต่เราพัฒนาทักษะในการสืบค้นสาระต่างๆ ผ่านกูเกิลขึ้นมาแทน ถ้าทักษะที่มีอยู่ดีเพียงพอ เราจะได้สาระที่ต้องการอย่างทันใจ จนกลายเป็นนิสัยรอไม่ได้สำหรับหลายคน เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงความสามารถและทักษะของเราได้โดยไม่รู้ตัว
ในวันเวลาของ AI เรารณรงค์ให้ใช้ AI กันอย่างจริงจัง ขู่กันกระทั่งว่าจะตกงานถ้าไม่รู้จักใช้ AI ลูกหลานก็เร่งรัดให้รีบใช้ AI กัน อีกกลุ่มหนึ่งก็ตกอกตกใจกังวลว่าจะมีปัญหาจริยธรรม พากันยกร่างกฎระเบียบออกมาเยอะแยะ จนกฎระเบียบที่ต้องปฏิบัติอาจจะมากกว่าสาระที่ต้องรู้ก่อนที่จะใช้ AI เสียอีก
การไล่ตามกระแส “เขาบอกมา” โดยไม่มีพื้นฐานที่เพียงพอ อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสุดขั้วได้ทั้งสองด้าน
ด้านหนึ่งคือกังวลจนไม่ใช้ อีกด้านหนึ่งคือเสพติด AI ด้านที่ไม่ใช้วันหน้าก็หายไปจากวงการงาน แต่ด้านที่เสพติดแล้วเห็นดีเห็นงาม พอเป็นใหญ่เป็นโตก็บังคับบัญชาให้ลูกน้องเสพติดตามตนเองไปด้วย
แม้ว่าวันนี้ยังไม่มีงานวิจัยที่ยืนยันได้ว่า การเสพติด AI คือ AI เป็นที่พึ่งอันประเสริฐของข้าพเจ้ามีผลดีหรือผลร้ายกับสมองหรือไม่
แต่งานวิจัยล่าสุดในปี 2568 พบว่า การใช้งาน AI ไม่มีผลกระทบใดๆ ทั้งทางบวกและลบกับความสามารถทางปัญญา ฉลาดอยู่แล้ว ใช้ AI ไม่พบว่าฉลาดขึ้น ถ้าไม่ฉลาด AI ก็ไม่ช่วยให้ฉลาดขึ้น
แต่ที่พบว่ามีผลแน่ๆ คือ ถ้าใช้มากเกินไปจะเกิดการเสพติด จนทำงานการไม่ได้ ถ้าไม่มี AI คอยช่วย เหมือนโนบิตะพึ่งพาโดราเอมอน คล้ายๆ กับ Google Effect ที่เราบอกรายละเอียดสาระอะไรไม่ได้เลย ถ้าไม่มีกูเกิลช่วยสืบค้น
ผลอีกเรื่องหนึ่งคือ ความพยายามที่จะคิดน้อยลง เมื่อใช้จนเสพติด ถ้าจำเป็นจริงๆ ก็ยังคิดอะไรต่ออะไรได้เอง แต่ถ้าอยู่หน้าจอ ขอ AI ช่วยคิดแทนก่อน เล่ากันว่าจะเขียนอีเมลหาคู่รักยังอุตส่าห์ให้ AI ช่วยเขียนให้อีก ไม่รู้ว่าตนเองหรือ AI เป็นคู่รักกันแน่
การเสพติด AI ไม่ได้หมายความว่าใช้มากแล้วเสพติด ใช้น้อยแล้วจะไม่เสพติด แต่หมายถึง AI กลายเป็นสรณะที่ขาดไม่ได้ในการคิดเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ถ้าไม่เสพติด AI เรายังต้องคิดวิเคราะห์ในระหว่างการใช้งาน AI หรืออาจจะต้องคิดมากขึ้นกว่าทำงานด้วยตนเองเสียอีก เหมือนมีเพื่อนร่วมงาน
เริ่มต้นคิดกันตั้งแต่ว่าระหว่างเรากับ AI ใครมีบทบาทอย่างไร ซึ่งแน่นอนว่า เราคือผู้เริ่มตั้งคำถาม Prompt กับ AI
ถ้า Prompt กันแบบอยากได้อะไรก็บอกมา ก็ไม่ต้องใช้ความคิดวิเคราะห์อะไรมากนัก จะให้ดีต้องมี Cognitive Forcing Intervention คือ เราบังคับตัวเองให้คิดนำหน้า AI ในการร่วมกันทำงานนั้น AI เป็นเพียงเครื่องช่วยในการออกกำลังกาย เป็นลู่วิ่ง เป็นตุ้มน้ำหนัก คนวิ่งคนยกคือตัวเรา
ถ้าต้องการให้ AI ช่วยเขียนบทความเรื่องจริยธรรมผู้บริหาร โดยมี Cognitive Forcing Intervention เราจะให้ช่วยค้นหาประเด็นจริยธรรมที่ผู้บริหารส่วนใหญ่มีปัญหา
จากนั้นก็ช่วยค้นว่ามีข้อเสนอในการแก้ไขอย่างไร เราบังคับให้ตัวเราเองคิดนำหน้า AI ทำจะใช้ AI ทั้งวันทั้งคืนก็ไม่ทำให้ความขยันคิดลดลง หรืออยากคิดลดลงแต่อย่างใด
Genertive AI ทำงานได้ดีขึ้น ถ้ามีการโต้ตอบที่ดีจากผู้ใช้ เราจึงต้องมี Metacognition คือตระหนัก และเข้าใจวิธีคิดของตนเอง เราใช้ AI มาช่วยสะท้อนความคิด ช่วยปรับปรุงการคิดให้ได้ผลแม่นยำขึ้น
เหมือนกับกำลังระดมสมองกับพรรคพวก คิดเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ที่จะมีการสะท้อนความคิดระหว่างกัน จนได้คำตอบที่มาจากฉันทามติของทุกคน เราทำฉันทามติกับ AI ได้ในทำนองเดียวกัน ดังนั้น ยิ่งใช้มาก สมองของเรายิ่งคิดมากขึ้นไปอีก
ใครก็ตามแต่ที่เที่ยวผลักดันให้คนนั้นคนนี้ใช้ AI ต้องมั่นใจว่าผู้คนเหล่านั้นสามารถคิดนำทาง AI ได้ และระดมสมองร่วมกับ AI อย่างได้ผลดี ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นการสร้างสาวกเสพติด AI ที่ยิ่งใช้นานวัน ยิ่งขี้เกียจที่จะคิดการงาน
เพราะยกให้ AI คิดการงานไปแทบหมดแล้ว โดยที่สมองยังไม่ได้เสียหายอะไร เลยใช้สมองไปในเรื่องที่ไม่ควรจะใช้ ตะแบงเก่งขึ้นจนเสมือนได้ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาศรีธนชัยศาสตร์.







