ดีอีเร่งเครื่อง 'สมาร์ตซิตี้' เต็มสูบ ดันเป้าหมาย 105 เมืองอัจฉริยะ ปี 70

ดีอีเร่งเครื่อง 'สมาร์ตซิตี้' เต็มสูบ ดันเป้าหมาย 105 เมืองอัจฉริยะ ปี 70

กระทรวงดีอีชูวิสัยทัศน์เมืองอัจฉริยะ 7 มิติ มุ่งสร้างเมืองน่าอยู่ และเศรษฐกิจดิจิทัลไทย ตั้งเป้าเพิ่มจาก 37 เป็น 105 เมืองภายในปี 2570 สร้างฐานเศรษฐกิจใหม่ และคุณภาพชีวิตยั่งยืน

KEY

POINTS

  • กระทรวงดีอีเร่งผลักดันโครงการเมืองอัจฉริยะ โดยตั้งเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ชาติให้มี 105 เมืองภายในปี พ.ศ. 2570
  • ปัจจุบันประเทศไทยมีเมืองอัจฉริยะที่ได้รับการรับรองแล้วรวม 37 เมืองใน 16 จังหวัด หลังจากอนุมัติ "ภูเก็ตทินิคอนวัลเลย์" เป็นเมืองใหม่ล่าสุด
  • โครงการเมืองอัจฉริยะสามารถดึงดูดการลงทุนจากภาคเอกชนได้แล้วกว่า 30,900 ล้านบาท
  • การพัฒนาเมืองอัจฉริยะของไทยครอบคลุม 7 มิติสำคัญ เช่น สิ่งแวดล้อม, การเดินทาง, การดำรงชีวิต และการบริหารภาครัฐ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน
  • มีการวางแผนพัฒนาศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะฯ ให้เป็นต้นแบบ "Smart City Sandbox" เพื่อเป็นโมเดลในการนำเทคโนโลยีไปประยุกต์ใช้แก้ปัญหา และพัฒนาเมืองอื่นๆ ต่อไป

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เปิดเผยว่า กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ได้อนุมัติตราสัญลักษณ์เมืองอัจฉริยะแห่งใหม่แก่ “ภูเก็ตทินิคอนวัลเลย์” เพิ่มอีก 1 เมือง และต่ออายุตราสัญลักษณ์เมืองอัจฉริยะเดิมอีก 16 เมือง ทำให้ปัจจุบันประเทศไทยมีเมืองอัจฉริยะรวม 37 เมือง กระจายอยู่ใน 16 จังหวัดทั่วประเทศ พร้อมเดินหน้าตามเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ชาติ ที่กำหนดให้ภายในปี 2570 ต้องมีเมืองอัจฉริยะอย่างน้อย 105 เมืองทั่วประเทศ

นายประเสริฐ กล่าวว่า การต่ออายุสัญลักษณ์เมืองอัจฉริยะจะอนุมัติเฉพาะเมืองที่มีความคืบหน้าเกิน 50% ขึ้นไป เพื่อให้มั่นใจได้ว่าโครงการพัฒนามีความก้าวหน้า และต่อเนื่อง โดยเมืองที่ได้รับการต่ออายุทั้ง 16 เมือง ครอบคลุมทั้งภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง ภาคใต้ รวมถึงกรุงเทพมหานคร เช่น ขอนแก่น เมืองอัจฉริยะวังจันทร์วัลเลย์ จ.ระยอง นครเชียงราย ภูเก็ต และโคราช เป็นต้น

ตั้งแต่ปี 2564 การผลักดันเมืองอัจฉริยะได้ดึงดูดการลงทุนจากภาคเอกชนรวมแล้วกว่า 30,900 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นต่อทิศทางการพัฒนาประเทศด้านดิจิทัล อีกทั้งยังสร้างการจ้างงาน และกระจายรายได้สู่ภูมิภาค

ดีอีเร่งเครื่อง 'สมาร์ตซิตี้' เต็มสูบ ดันเป้าหมาย 105 เมืองอัจฉริยะ ปี 70

ทั้งนี้ หนึ่งในแนวทางสำคัญคือ การพัฒนา ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะฯ ให้เป็น Smart Government Complex ซึ่งมีบุคลากรราชการกว่า 35,000 คน และประชาชนเข้า-ออกวันละกว่า 50,000 คน หากดำเนินการสำเร็จ จะเป็นต้นแบบ “Smart City Sandbox” ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับเมืองอื่นๆ ได้ โดยจะใช้เทคโนโลยีช่วยจัดการปัญหาจราจร เพิ่มพื้นที่สีเขียว ดูแลสิ่งแวดล้อม และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างรอบด้าน

แนวคิดเมืองอัจฉริยะของไทยเน้นการพัฒนาภายใต้ 7 มิติ ได้แก่ 

  1. สิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ
  2. การเดินทางอัจฉริยะ
  3. การดำรงชีวิตอัจฉริยะ
  4. พลเมืองอัจฉริยะ
  5. พลังงานอัจฉริยะ
  6. เศรษฐกิจอัจฉริยะ
  7. การบริหารภาครัฐอัจฉริยะ 

โดยทุกด้านต้องอาศัยการมีส่วนร่วมจากประชาชน และภาคธุรกิจ ไม่เพียงแต่ลดค่าใช้จ่าย และใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า แต่ยังสร้างเมืองที่ทันสมัย และน่าอยู่ในระยะยาว

รมว.ดีอี เสริมว่า มีผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาเมืองชี้ว่า หากไทยสามารถบรรลุเป้าหมาย 105 เมืองอัจฉริยะภายในปี 2570 ได้จริง จะเป็นก้าวกระโดดสำคัญต่อการยกระดับโครงสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ ส่งผลต่อ GDP และสร้างความสามารถในการแข่งขันระดับภูมิภาค

โดยเฉพาะการดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ การพัฒนาเมืองท่องเที่ยวหลัก เช่น ภูเก็ต และเชียงใหม่ จะช่วยรองรับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และดิจิทัลโนแมด ขณะที่เมืองอุตสาหกรรมอย่างระยอง และชลบุรี จะขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG และอุตสาหกรรม 4.0

อย่างไรก็ดี การขับเคลื่อนเมืองอัจฉริยะไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่คือ การสร้างเมืองที่ประชาชนทุกกลุ่มมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีระบบนิเวศที่เอื้อต่อการอยู่อาศัย และทำงาน พร้อมเดินหน้าสู่เป้าหมาย 105 เมืองอัจฉริยะในอีก 2 ปีข้างหน้า อันเป็นเครื่องมือสำคัญในการผลักดันยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์   ศิลาวงษ์