เกษียณเร็วหรือเกษียณช้า? | มองมุมใหม่

เมื่อไม่นานมานี้ โครงการเกษียณก่อนกำหนดของธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่ง ก่อให้เกิดกระแส “เกษียณตอน 45” ที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางในสังคม บางคนมองว่ามันคือความฝันของการมีอิสรภาพที่เร็วขึ้น
ได้ใช้เวลาที่เหลือในชีวิตทำสิ่งที่อยากทำ แต่ในอีกมุมหนึ่งมีหลายเสียงสะท้อนความกังวลว่า เทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังเปลี่ยนแปลงตลาดแรงงานอย่างรวดเร็ว จนทำให้คนอาจถูกบังคับให้ออกจากงานเร็วกว่าที่คิด
เรื่องของอายุการเกษียณนั้น มีหลากหลายมุมมองและความคิด ในต่างประเทศกระแสของการขยายอายุเกษียณก็กำลังมาแรงในหลายประเทศทั่วโลก
สาเหตุหลักก็มาจากประชากรสูงวัยที่เพิ่มขึ้น การมีอายุที่ยาวขึ้น และการชะลอการจ่ายเงินบำเหน็จบำนาญ ดังนั้น อาจจะต้องพิจารณาในหลากหลายมุมมองว่า การเกษียณเร็วหรือเกษียณช้ามีข้อดีหรือข้อเสียต่อทั้งตัวบุคคลและองค์กรอย่างไร
คำถามแรกคือ พัฒนาการของเทคโนโลยีและเอไอส่งผลต่อการเกษียณที่เร็วกว่ากำหนดจริงหรือไม่? มีงานวิจัยหนึ่งที่ชี้ให้เห็นว่าเทคโนโลยีใหม่ๆ ทำให้ทักษะเดิมที่คนทำงานมีอยู่หมดความหมาย โดยเฉพาะกลุ่มคนทำงานรุ่นผู้ใหญ่ที่สั่งสมประสบการณ์และชำนาญกับเครื่องมือและวิธีการแบบเดิมๆ ทำให้เทคโนโลยีกลายเป็นปัจจัยผลักดันที่ทำให้หลายคนออกจากงานเร็วกว่าที่ตั้งใจ แต่ในอีกมุมหนึ่งเทคโนโลยีสมัยใหม่ก็มีช่วยให้คนสามารถยืดอายุเกษียณออกไปได้เช่นกัน
มีงานวิจัยในยุโรปที่พบว่าผู้ที่ทำงานที่มีลักษณะต้องแก้ไขปัญหา สามารถใช้ AI เป็นเครื่องมือในการทำงาน และพร้อมที่จะเรียนรู้ทักษะใหม่ จะขยายอายุการเกษียณออกไปได้ ขณะเดียวกันผู้ที่ทำงานในลักษณะที่ง่ายๆ ซ้ำซาก และไม่เรียนรู้ใน AI ก็มีความเสี่ยงที่จะถูกให้เกษียณก่อนกำหนด
คำถามต่อมาคือการเกษียณเร็วหรือเกษียณช้า ส่งผลต่อสุขภาพ คุณภาพชีวิตและอายุขัยของคนหรือไม่?
ซึ่งก็มีงานวิจัยในอเมริกาที่พบว่าการเกษียณเร็วจะเพิ่มความเสี่ยงในการเสียชีวิต และการเกษียณที่ช้าลงจะช่วยลดความเสี่ยงจากการเสียชีวิตได้ดีกว่า
รวมทั้งมีงานวิจัยจากทางฝั่งยุโรปที่พบว่าการเกษียณช้ากลับส่งผลดี ทั้งการช่วยชะลอภาวะความจำเสื่อม (โดยเฉพาะด้านภาษา) แสดงให้เห็นว่าการเกษียณเร็วอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ดี แต่การทำงานต่อไปเรื่อยๆ อาจจะส่งผลทำให้อายุยืนยาวขึ้นได้
นอกจากในมุมของแต่ละคนแล้ว การเกษียณเร็วหรือช้าก็มีผลกระทบต่อตัวองค์กรเช่นเดียวกัน ในหลายองค์กรได้จัดให้มีโครงการเกษียณก่อนกำหนด และองค์กรใช้โครงการดังกล่าวเป็นเครื่องมือทางการเงินในการลดต้นทุนและการบริหารคน
โครงการเกษียณก่อนกำหนดนี้จะช่วยลดต้นทุนให้กับองค์กร รวมทั้งเปิดทางให้คนรุ่นใหม่ได้มีโอกาสในการเติบโต
งานศึกษาในสหรัฐ พบว่า การให้ครูอาวุโสเกษียณพร้อมค่าตอบแทนพิเศษ และแทนที่ด้วยครูรุ่นใหม่ ทำให้โรงเรียนประหยัดได้กว่า 20,000 ดอลลาร์ต่อปีต่อคน และยังช่วยสร้างโอกาสเติบโตภายในให้กับครูรุ่นกลาง แต่หากมีคนเข้าร่วมน้อยกว่าที่คาด ประโยชน์ทางการเงินก็แทบไม่เกิดขึ้น
ในอเมริกามีอีกงานวิจัยที่ชี้ว่า หากพนักงานเลื่อนเกษียณออกไปหนึ่งปี องค์กรต้องแบกรับต้นทุนเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 50,000 ดอลลาร์ต่อพนักงานหนึ่งคน ทั้งจากค่าจ้าง ค่าประกันสุขภาพและผลผลิตที่ลดลงเมื่อพนักงานหมดไฟ
สำหรับบริษัทขนาด 1,000 คน ถ้ามีแค่ 30 คนเกษียณช้า ต้นทุนรวมอาจพุ่งไปถึงหลายล้านดอลลาร์ภายในไม่กี่ปี
ขณะเดียวกันมีอีกงานวิจัยที่พบว่าเมื่ออายุเกษียณเฉลี่ยในองค์กรขยายออกไปหนึ่งปี โอกาสเลื่อนตำแหน่งของพนักงานรุ่นใหม่ลดลงเกือบ 20-50% โดยเฉพาะตำแหน่งระดับบริหาร ทำให้คนรุ่นใหม่รู้สึก “ตัน” และบางครั้งเลือกลาออกเพื่อหาความก้าวหน้าในที่อื่น
สรุปแล้วจากงานวิจัย จะเห็นได้ว่า เทคโนโลยีไม่ใช่ปัจจัยหลักที่ผลักดันให้เกิดการเกษียณเร็ว แต่เทคโนโลยีเป็นปัจจัยที่ทำให้เงื่อนไขในการเลือกที่จะเกษียณเปลี่ยนไป หากคนเรามีทักษะที่เหมาะสมและพร้อมเรียนรู้ เทคโนโลยีกลายเป็นสะพานให้ทำงานต่อไปได้ยาวนาน
แต่ถ้าอยู่ในงานซ้ำซากโดยไม่พัฒนาตัวเอง เทคโนโลยีก็อาจกลายเป็นแรงผลักให้คนต้องออกเร็วกว่าที่ตั้งใจ ส่วนการเกษียณเร็วจะทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับความพร้อมของแต่ละบุคคล ทั้งสิ่งที่จะทำหลังเกษียณ สุขภาพ และความมั่นคงทางด้านการเงิน
สำหรับตัวองค์กรเอง การเกษียณเร็วช่วยลดต้นทุนให้กับทั้งองค์กร แต่เสี่ยงต่อการสูญเสียความรู้และประสบการณ์ ส่วนการเกษียณช้าเก็บประสบการณ์ไว้ได้ แต่ต้องแบกรับต้นทุนสูงและอาจไม่เปิดโอกาสให้กับคนรุ่นใหม่
สิ่งที่สำคัญกว่าคือ ต้องออกแบบระบบที่สมดุลระหว่าง ต้นทุน ประสิทธิภาพและคุณค่าของคน.







