อนาคตไทยกับการท่องเที่ยวอัจฉริยะ | ประเทศไทย iCare

สถานการณ์เศรษฐกิจที่ยังอ่อนแอของประเทศไทยในปัจจุบัน ก็ไม่น่าแปลกใจที่เราจะกังวลใจเรื่องจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาเยือนประเทศไทยที่ชะลอตัวลง
คนที่เกี่ยวข้องต่างก็มีความหวังว่านักท่องเที่ยวจะกลับมาเหมือนเดิมในปลายปีนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักท่องเที่ยวจีน
นักท่องเที่ยวนานาชาติอาจแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มที่เที่ยวกับทัวร์ ซึ่งแต่ก่อนเรามีทัวร์จากประเทศจีนรวมทั้งมีทัวร์ศูนย์เหรียญ กลุ่มที่เที่ยวแบบอิสระ และกลุ่ม hi-end
เมื่อก่อนกลุ่มทัวร์จากจีนจะเป็นนักท่องเที่ยวจากมณฑลตะวันออกที่ตอนนี้ได้มุ่งไปหาที่เที่ยวแหล่งใหม่ ถ้าจะหานักท่องเที่ยวทัวร์ใหม่นี้ก็ต้องเข้าไปหาในเมืองใหญ่ในมณฑลภายใน ซึ่งยังไม่คุ้นเคยกับการไปต่างประเทศไกลๆ มากนัก ซึ่งกลุ่มนี้จะเที่ยวแบบมาตรฐาน แต่ก็มีประมาณ 10% ที่เป็นนักท่องเที่ยวคุณภาพสูงหรือกระเป๋าหนัก ซึ่งนักการตลาดท่องเที่ยวต้องพยายามสอยนักท่องเที่ยวคุณภาพสูงนี้ออกจากกลุ่มมาตรฐานให้มาทำการท่องเที่ยวซ้ำ เราถึงจะมีผลตอบแทนที่ดี
นอกจากทัวร์นักท่องเที่ยวจีนที่ต้องอาศัยการท่องเที่ยวกับบริษัทนำเที่ยวแล้ว ยังมีนักท่องเที่ยวของประเทศที่ไม่สะดวกที่จะใช้ภาษาอังกฤษ มีความคล่องตัวในการเดินทางต่ำ ซึ่งยังสนใจใช้บริษัทนำเที่ยวด้วย ตลาดนี้เป็นตลาดที่อาศัยการนำเที่ยวแบบเดิมที่ผู้เขียนเรียกว่าแบบอุตสาหกรรม คือ มีกำหนดแบบแผนเวลา 6 7 8 คือ ตื่น 6 โมงเช้า รับประทานอาหารเช้า 7 โมง แล้วขึ้นรถ 8 โมง และกลับเป็นเวลา กลุ่มนี้สนใจ hi activity at low cost
ส่วนกลุ่มที่สอง เป็นนักท่องเที่ยวจีนที่เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวอิสระที่ผู้เขียนเรียกว่ากลุ่ม post - industrial ที่มีประสบการณ์ในการท่องเที่ยว มิหนำซ้ำยังมีความเป็นมนุษย์แพลตฟอร์ม และกำลังเป็นมนุษย์ AI ดังนั้น กลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่อายุอยู่ช่วงระหว่าง 30-40 ปี อยากจะท่องเที่ยวไปในพื้นที่แปลกใหม่เพื่อหาประสบการณ์ แต่ต้องเป็นการท่องเที่ยวที่สะดวก สะอาด ปลอดภัย ใช้อินเทอร์เน็ต
เพราะสำหรับคนเหล่านี้ต้องการการท่องเที่ยวอัจฉริยะ (smart tourism) กลุ่มนี้ต้องการ hi-tech กว่า hi-touch ซึ่งกลุ่มนักท่องเที่ยวยุโรปก็จัดอยู่ในกลุ่มนี้ แต่ hi-tech น้อยกว่าจีน
กลุ่มที่สาม เป็นกลุ่ม hi-end ที่การท่องเที่ยวของเรามักเข้าไม่ถึง กลุ่มนี้ไม่อ่านป้ายโฆษณาในที่ต่างๆ และจะเชื่อคำบอกเล่าจากปากต่อปาก โดยเฉพาะจากเพื่อนที่เป็นเซเล็บเหมือนกัน กลุ่มนี้ถ้าเป็นกลุ่มในสหรัฐก็จะใช้บริษัททัวร์ hi-end ซึ่งมีสนนราคาสูงมาก เป็นกลุ่มที่ต้องการ hi touch มากกว่า hi tech แต่โลจิสติกส์ต้องดีเยี่ยมเพราะมีเวลาน้อย กลุ่มนี้ก็มีนักท่องเที่ยวจีนเหมือนกัน เท่าที่เคยสอบถามบริษัทท่องเที่ยวที่จัดการให้กลุ่มนี้ มักจะเป็นกลุ่มธุรกิจหรือครอบครัวนั่งเรือบินส่วนตัวมา แล้วก็พักในโรงแรมที่เป็น destination hotel ไม่ออกมาเดินดูบ้านเมืองเหมือนนักท่องเที่ยวจีนทั่วไป
แต่ถ้าต้องการเข้าถึงตลาดนักท่องเที่ยวจีนกลุ่มใหญ่ซึ่งเป็นกลุ่มที่สอง กลุ่มนี้แทบไม่ใช้เงินสดเลย เพราะฉะนั้น การที่ประเทศไทยสนับสนุนความก้าวหน้าในการใช้เงินผ่านระบบอินเทอร์เน็ตก็เป็นวิถีทางที่ถูกต้องแล้ว แต่ยังต้องปรับกระบวนการอื่นๆ ของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวให้เป็นอุตสาหกรรมอัจฉริยะยิ่งขึ้น เช่น ในกระบวนการของการต้อนรับขับสู้ เช่น ระบบจองและระบบเช็คอินเป็นระบบเรียลไทม์และใช้บนมือถือได้ มี mobile เช็คอินเช็คเอาท์ ใช้ดิจิทัลคีย์ผ่าน smart phone การจ่ายเงินใช้ QR Code และ E- Wallet
การให้ข้อมูลลูกค้าแทนที่จะต้องอาศัยพนักงานฟร้อนหรือจะมีแชทบอร์ดหรือ virtual converge ตอบได้ 24 ชั่วโมงทุกวัน รูมเซอร์วิสก็ใช้แท็บเล็ตในห้องสั่งและรับบริการจากหุ่นยนต์
การสื่อสารกับลูกค้าก็อาศัยข้อมูลบิ๊กดาต้าของเครือข่ายของตนที่จะสามารถให้บริการแบบเฉพาะตัว (personalized offer) หลังจากการท่องเที่ยวก็มีระบบรีวิวออนไลน์และได้รับ Feedback แบบเรียลไทม์
ทั้งหมดนี้เราเรียกว่าเป็นกระบวนการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ระบบดิจิทัล แต่การเปลี่ยนผ่านนี้ยังเป็นแค่กระบวนการ ถ้าทำให้เป็นระดับองค์กรจะต้องทำไปถึงการจัดการพลังงาน การจัดการแบบ IoT ลดการปล่อยคาร์บอน พัฒนาพนักงานให้เข้าใจและยึดถือเป้าหมายความเป็นสีเขียว
และเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นเครื่องมือประจำตัว และเป็นวัฒนธรรมใหม่ขององค์กร สำหรับลูกค้าจีน ความสมาร์ทต้องมากับต้นทุนที่ต่ำลงหรือบริการที่เร็วและดีขึ้น
ในต่างประเทศ แม้แต่ที่พักแบบ Airbnb ก็เป็นการท่องเที่ยวแบบสมาร์ทไปหมดแล้ว เพราะเจ้าของบ้านจะโฆษณาและติดต่อลูกค้าทางอินเทอร์เน็ต ไม่มีการพบหน้ากันก่อน เจ้าของบ้านจะแจ้งที่เก็บกุญแจหรือแจ้งรหัสเข้าบ้านให้ลูกค้าทราบก่อนเข้าพักและมีคู่มืออธิบายการใช้เครื่องมือต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องมือทำความร้อนซึ่งเราคนไทยไม่ค่อยคุ้นให้อย่างชัดเจน และให้ระเบียบการใช้ห้องให้สะอาดและให้ใช้วิธีการกำจัดขยะต่างๆ ตามสภาพของประเภทห้องที่ให้เช่า
เช่น ถ้าเป็นที่ที่เป็นคอนโดขนาดใหญ่ก็อาจจะต้องมีระบบขยะแยกพิเศษ บางแห่งก็จะมีเครื่องย่อยเบื้องต้นในห้องครัว แล้วส่งไปตามท่อใหญ่มีการแยกขยะเพื่อส่งไปกำจัดต่างกัน
เจ้าของบ้านต้องมีความสามารถในการใช้ดิจิทัลเทคโนโลยีและ AI ปัจจุบันสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ได้สนับสนุนทุนอุดหนุนวิจัยให้มูลนิธิสถาบันศึกษานโยบายสาธารณะ เพื่อให้ความรู้ผู้รอเกษียณให้สามารถใช้ AI ในการโฆษณา เล่าเรื่อง เพื่อใช้ในการทำอาชีพด้านท่องเที่ยวได้
ความเป็นอัจฉริยะของการท่องเที่ยวไม่ควรหยุดแค่การมีสถานพักแรมอัจฉริยะ แต่จะต้องมีระบบขนส่งที่อัจฉริยะ ซึ่งเมืองรองของเราแม้แต่ระบบขนส่งสาธารณะก็ยังไม่มีเลย ยังโชคดีที่มีรถ Grab อยู่บ้างแต่ก็มีจำนวนน้อยมาก และคนทั่วไปยังไม่ทราบว่าสามารถเรียกได้ เช่น นครพนมมีรถ Grab อยู่แค่ 6 คัน
การส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยเป็นการส่งเสริมด้านโฆษณาเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งในปัจจุบันนั้นการสื่อสารในระบบโซเชียลนั้นเข้มแข็งกว่าการโฆษณามาก สะท้อนจากการที่คนจีนไม่มาเที่ยวไทยเพราะเชื่อโซเชียลว่าเมืองไทยไม่ปลอดภัยมากกว่าการโฆษณาล่อใจแบบลดแลกแจกแถม
ดังนั้น การหาลูกค้าใหม่จึงจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนทั้งวิธีการโฆษณาและวิธีการจัดการการท่องเที่ยว และต้องเพิ่มความสนใจในการจัดการซัพพลายมากขึ้น เพื่อให้เมืองรองเป็นเมืองรองอัจฉริยะให้ได้ในบางเมือง
เพราะในปัจจุบันเมืองรองที่ศักยภาพสูง เช่น ลำปาง เมื่อก้าวพ้นสนามบินหรือรถไฟแล้วก็ไม่รู้จะไปต่ออย่างไร
สำหรับผู้ประกอบการใหม่ที่จะเข้ามาสู่ตลาดท่องเที่ยวก็ควรที่จะสนใจการบูรณาการ IT และ AI เข้ามาสู่ระบบการจัดการเสียแต่เนิ่นๆ
หน่วยงานของรัฐควรพยายามใช้เวลาและทรัพยากรในการจัดการด้านซัพพลายให้เมืองรองมีความสะอาด สะดวก ปลอดภัย ซึ่งเป็นพื้นฐานของความต้องการของนักท่องเที่ยว ส่งเสริมภาคเอกชนท้องถิ่นให้เข้ามาให้บริการมากขึ้น
ซึ่งหากไม่มีแล้วต่อให้เป็นที่เที่ยวที่ดึงดูดใจ อย่างไรก็ไม่สามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้







