สงครามโดรนในยูเครน

หลายคนอาจให้ความสนใจกับการเจรจาสงบศึก รัสเซีย-ยูเครน แต่ผมขอเขียนถึงอีกด้านหนึ่งคือ การที่ยูเครนยังสามารถต้านกองทัพรัสเซียได้นานกว่า 3 ปี ทั้งๆ ที่รัสเซียมีขนาดใหญ่กว่ายูเครนถึง 3.5 เท่า
เมื่อรัสเซียเริ่มต้นการรุกรานยูเครนในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 หลายคนคาดการณ์ว่า ความได้เปรียบของรัสเซียจะนำไปสู่ชัยชนะอย่างรวดเร็ว
แต่โดรนกลายเป็น “ตัวปรับสมดุล” ที่ทำให้ประเทศเล็กอย่างยูเครนสามารถต้านทานรัสเซียได้ ศักยภาพของโดรนทำให้กองทัพประเทศต่างๆ ต้องหันมาให้ความสนใจกับสงครามนี้ และศึกษาดูว่า โดรนให้บทเรียนอะไรกับการทำสงครามในอนาคตบ้าง ผมจึงขอนำเอาบทความ “The Dawn of Automated Warfare โดย Eric Schmidt และ Greg Grant ซึ่งตีพิมพ์ลงใน วารสาร Foreign Affairs เมื่อ 12 August 2025 มาสรุปให้ลองอ่านดูครับ
สงครามในยูเครนได้เปลี่ยนแปลงหน้าตาของการรบสมัยใหม่ จากสงครามที่อาศัย รถถัง ยานเกราะและปืนใหญ่ในการรุกราน โดยกลายมาเป็น “สงครามของโดรน” ครั้งแรกของโลก
ในปี 2566 ยูเครนได้จัดตั้งหน่วยโดรนเป็นกองพลที่ 3 โดยเริ่มใช้โดรน First-Person View (FPV) ขนาดเล็กที่ราคาถูก สามารถบินด้วยระบบควบคุมระยะไกลและระเบิดตัวแบบกามิกาเซ่ ยูเครนใช้โดรนประเภทนี้หลายพันลำ ต่อมารัสเซียก็ใช้โดรนประเภทเดียวกัน ทำให้ปัจจุบันมีโดรนหลายแสนลำที่บินอยู่เหนือท้องฟ้ายูเครน
ศักยภาพของโดรนทำให้ความแข็งแกร่งของยูเครน ถูกประเมินจากจำนวนและความสามารถของโดรน ไม่ใช่จำนวนรถถัง ยานเกราะ และปืนใหญ่ที่ได้รับจากประเทศตะวันตกแต่เพียงอย่างเดียว
โดรนได้กลายเป็นอาวุธสำคัญ เนื่องจากต้นทุนต่ำ มีความเร็วสูง และความแม่นยำ โดรนได้เข้ามาทดแทนที่อาวุธแบบดั้งเดิมหลายชิ้น เช่น ขีปนาวุธต่อต้านรถถัง ปืนครก รถถัง และแม้กระทั่งปืนใหญ่และเครื่องบิน ดังนั้น จำนวนนักบินโดรนที่มีฝีมือและความสามารถในการปรับใช้โดรนในปริมาณมาก จึงเป็นปัจจัยสำคัญในการวัดศักยภาพทางการทหารของยูเครนที่จะต่อต้านการรุกล้ำของรัสเซีย นักบินโดรนและสถานีควบคุมโดรนจึงได้ตกเป็นเป้าสำคัญสำหรับทั้งสองฝ่าย
สถิติของสงครามยูเครนรัสเซียนั้นพบว่า การสูญเสียรถถังและยานเกราะของรัสเซียนั้น 90% เป็นผลมาจากการโจมตีด้วยโดรนของยูเครน ส่วนการบาดเจ็บล้มตายของทหารรัสเซียนั้น 80% เป็นผลมาจากการโจมตีของโดรน กองพลโดรนของยูเครนนั้น ใช้ศักยภาพประมาณ 75% เพื่อมุ่งเป้าไปที่การโจมตีทหารราบของรัสเซีย
รัสเซียจึงต้องจัดทีมทหารให้มีขนาดเล็กลง (2-3 คน) และให้กระจายตัวออกไปในพื้นที่ นอกจากนั้นก็ยังให้ใช้รถจักรยานยนต์เพื่อให้สามารถเคลื่อนที่ได้รวดเร็วและไม่ตกเป็นเป้าของโดรน การเฝ้าระวังด้วยโดรนได้ทำให้การเคลื่อนไหวของกองทหารเกือบทั้งหมดถูกมองเห็นจากฝ่ายตรงข้าม (transparent battlefield) และมีความเสี่ยงที่ความเคลื่อนไหวใกล้แนวหน้าจะถูกโจมตีภายในไม่กี่นาที นอกจากนั้น โดรนยังต้องต่อสู้กับโดรนมากขึ้น กลายเป็น สงครามโดรน (drone wars) อีกด้วย
โดรนเฝ้าระวังและลาดตระเวนมีอยู่แพร่หลายมาก จนทั้งกองกำลังรัสเซียและยูเครนแทบจะไม่เคลื่อนไหวในเวลากลางวันเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกโดรนโจมตี การเคลื่อนไหวใกล้แนวรบจึงมักเกิดขึ้นในช่วงพระอาทิตย์ขึ้นและตก เมื่อกล้องวิดีโอกลางวันและกล้องอินฟราเรดมองกลางคืนของโดรนมีประสิทธิภาพต่ำ
นอกจากนั้น โดรนยังทำให้ยูเครนสามารถโจมตีเป้าหมายในประเทศรัสเซียที่ห่างไกลจากสนามรบ โดยไม่ต้องมีเครื่องบินรบราคาแพง ยูเครนโจมตีฐานทัพอากาศของรัสเซียที่ห่างจากยูเครน 8,000 กิโลเมตรในเดือนมิถุนายนด้วยการลักลอบนำโดรนเข้าไปและปล่อยจากท้ายรถบรรทุก
รัสเซียปรับตัวช้ากว่า แต่ปัจจุบันก็ได้เพิ่มการผลิตโดรน FPV และโดรนที่ใช้สำหรับการทิ้งระเบิดเชิงกลยุทธ์ เช่น Shahed ที่ออกแบบโดยอิหร่าน นอกจากนั้นยังได้พัฒนาโดรนรุ่น Orlan สำหรับการเฝ้าระวัง และ โดรนรุ่น Lancet ที่บินวนเวียนเหนือเป้าหมายก่อนระเบิด ตัวเอง
ปัจจุบัน ยูเครนใช้ทหารยูเครนประมาณ 3,000 นายทำงานเต็มเวลาเพื่อควบคุมโดรนลาดตระเวน ส่วนใหญ่เป็น DJI Mavic ที่ผลิตในจีน ตลอดแนวรบทั้งหมดยาว 1,200 กิโลเมตร ศูนย์บัญชาการกองพลยูเครนรับภาพจากโดรนตลอดเวลา
ยูเครนใช้งบประมาณเกือบ 60 ล้านบาทต่อเดือนเพื่อผลิตโดรน Mavic เพื่อใช้ในการลาดตระเวนแนวหน้าของสนามรบ และอีก 15 ล้านบาทต่อเดือนสำหรับโดรนเฝ้าระวังระยะไกล ยูเครนผลิตโดรนมากกว่า 2 ล้านลำในปี 2567 และตั้งเป้าว่าจะผลิตให้ได้ 4 ล้านลำภายในสิ้นปี 2568 มัน ส่วนรัสเซียนั้นก็กำลังผลิตโดรนโจมตีระยะไกลรุ่น Shahed 5,000 ลำต่อเดือน
รัสเซียและยูเครนกำลังแข่งขันกันพัฒนาศักยภาพของโดรนแบบเรียลไทม์ เพื่อให้ได้เปรียบในสนาม โดยต้องเพิ่มศักยภาพในการผลิตและซ่อมแซม โดยมีที่ตั้งอยู่ใกล้แนวรบ ทีมโดรนต้องทดสอบและปรับใช้วิทยุ เสาอากาศ แผงวงจรใหม่ ฯลฯ อย่างต่อเนื่อง การอัปเดตซอฟต์แวร์จะถูกผลักดันออกมาเป็นรายวัน
การเร่งพัฒนาให้โดรนทำงานแบบรวมตัวกันเป็นฝูงโดยอัตโนมัติด้วย เอไอ ก็กำลังเกิดขึ้น ปัจจุบันอัลกอริทึมสามารถช่วยให้โดรนประสานงานกันเอง และลดข้อผิดพลาดของผู้บังคับโดรน ตลอดจนการเลือกเส้นทาง ทำให้การบินมีเสถียรภาพ และนำทางไปสู่จุดหมายปลายทางที่ถูกต้องได้ เทคโนโลยีของโดรนและเอไอจึงอาจกำลังนำโลกไปสู่ยุคของการทำสงครามแบบอัตโนมัติ (automated warfare) ก็เป็นได้ครับ







