ดีอีเดินแผนปี 69 ชูเอไอ–เทคฯอินฟรา มุ่งปฏิรูปเศรษฐกิจไทยสู่ Top 30 โลก

กระทรวงดีอีเผยยุทธศาสตร์ปีงบ 2569 ยกระดับเศรษฐกิจด้วย AI–ดิจิทัลอินฟราฯ ขยายโครงสร้างพื้นฐาน สร้างบุคลากร และแพลตฟอร์มกลางแห่งชาติ ชูแผน 6 ด้าน บูรณาการรัฐ–เอกชน ลดพึ่งพาต่างชาติ
KEY
POINTS
- กระทรวงดีอีตั้งเป้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ติดอันดับ Top 30 ของโลกภายในปี 2569 ผ่าน AI เป็นกลไกหลัก พร้อมตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนเศรษฐกิจดิจิทัลเป็น 30% ของ GDP ภายในปี 2570
- แผนปฏิบัติการปี 2569 จะมุ่งเน้นการพัฒนา 6 ด้านสำคัญ คือ โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล, ระบบ Digital Identity, รัฐบาลดิจิทัล, สังคมไร้เงินสด และการนำ AI มาใช้ในภาคอุตสาหกรรม การเกษตร และบริการ
- มีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น โครงข่ายเคเบิลใต้น้ำฝั่งอันดามัน (งบประมาณ 5,000 ล้านบาท) และระบบคลาวด์กลางภาครัฐ (GDCC) เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่รัฐบาลดิจิทัลเต็มรูปแบบ
- มุ่งเน้นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยตั้งเป้าสร้างผู้เชี่ยวชาญด้าน AI 90,000 คน และนักพัฒนา AI 50,000 คน ภายในปี 2571
- มีข้อเสนอให้เร่งสร้างรัฐบาลดิจิทัล, พัฒนาแบบจำลองภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ภาษาไทย และสร้าง Digital Platform ระดับชาติผ่านความร่วมมือรัฐ-เอกชน เพื่อลดการพึ่งพาแพลตฟอร์มต่างชาติ
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ประกาศเดินหน้าแผนปฏิบัติการปีงบประมาณ 2569 ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่างครบวงจร มุ่งยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศให้ติดอันดับ Top 30 ของโลก พร้อมตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนเศรษฐกิจดิจิทัลไม่น้อยกว่า 30% ของ GDP ภายในปี 2570 จากปัจจุบันอยู่ที่ราว 24% และอันดับความสามารถแข่งขันด้านดิจิทัลอยู่ในลำดับที่ 37 ของ IMD
ดร.ณัฐพล ณัฏฐสมบูรณ์ รองปลัดกระทรวงดีอี เปิดเผยว่า แผนปีงบ 2569 จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลผ่าน 6 ด้านหลัก ได้แก่
1. การลงทุนและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลให้ครอบคลุมทั่วประเทศ
2. การสร้างระบบ Digital Identity เพื่อรองรับบริการออนไลน์ที่ปลอดภัย
3. การเสริมศักยภาพ Digital Infrastructure ให้เชื่อมต่อได้รวดเร็วและมีเสถียรภาพ
4. การพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (Digital Government) เพื่อลดขั้นตอนและต้นทุน
5. การส่งเสริมระบบชำระเงินดิจิทัลและสังคมไร้เงินสด
6. การนำเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในภาคอุตสาหกรรม การเกษตร และบริการ
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล ในประเทศไทย ภาคเอกชนจะมีบทบาทในการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานอยู่แล้ว โดยมีการลงทุนเป็นจำนวนมาก จากการให้บริการของบริษัทที่ให้บริการด้านเทคโนโลยี ขณะที่ภาครัฐจะมุ่งเน้นเรื่องการวางระบบเพื่อเชื่อมต่อกับต่างประเทศ
โดยในฝั่งแปซิฟิกในส่วนของ Cable Submarine เพื่อเชื่อมโยงระบบกับต่างประเทศ และ มีแผนที่จะพัฒนาในส่วนของ Cable Submarine ส่วนในฟากอันดามัน รัฐบาลอาจจะต้องใช้เงินลงทุนราว 5,000 ล้านบาท เพื่อพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลเพื่อเชื่อมต่อกับต่างประเทศ สนับสนุนกับการลงทุนระบบเครือข่ายของภาคเอกชน
ขณะที่ภายใต้โครงการ ระบบคลาวด์กลางภาครัฐ หรือ Government Data Center and Cloud (GDCC) โดยการรวมศูนย์ข้อมูล (Data Center) ของหน่วยงานภาครัฐทุกหน่วย เข้ามาใช้งานร่วมกัน ที่พัฒนาต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2565-2568 กรอบงบประมาณราว 5,000 ล้านบาท สร้าง Data Center แล้วเสร็จแล้ว 45,000 VM (Virtual Machine ) จากที่ต้องใช้ประมาณ 800,000 VM สำหรับการจัดทำข้อมูล GDCC ให้ครอบคลุมกับทุกหน่วยงานของไทย
เปลี่ยนภาครัฐสู่ Paperless เต็มรูปแบบ
อีกหนึ่งเป้าหมายสำคัญคือ การผลักดันหน่วยงานรัฐให้เปลี่ยนการทำงานเป็นระบบเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ (E-Document) โดยปัจจุบันมีหน่วยงาน 65 แห่งและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ใช้ระบบแล้ว รวมผู้ใช้กว่า 1.68 แสนคน และตั้งเป้าภายในปี 2570 ให้ครอบคลุมหน่วยงานรัฐทั้งหมด เพื่อเพิ่มความรวดเร็ว ลดต้นทุน และลดการใช้ทรัพยากรกระดาษ
สร้างเศรษฐกิจดิจิทัลที่ยั่งยืน
กระทรวงดีอีมั่นใจว่า หากเดินหน้าตามยุทธศาสตร์นี้ จะสามารถพลิกโฉมเศรษฐกิจไทยให้เป็นเศรษฐกิจดิจิทัลเต็มรูปแบบ ขยายโอกาสทางเศรษฐกิจ ลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพในทุกภาคส่วน และสร้างความสามารถแข่งขันอย่างยั่งยืนบนเวทีโลก
ลงทุนพัฒนาคน–ปั้นนักพัฒนา AI ไทย
ในปีงบ 2569–2570 ดีอีจะเน้น 3 แกนหลัก ได้แก่ E-Document, GDCC และ Cyber Security พร้อมขับเคลื่อนการนำ AI ไปใช้ในภาคการผลิตและบริการ ตั้งเป้าภายในปี 2571 ให้ประชาชนอย่างน้อย 10 ล้านคนเข้าถึง AI มีผู้เชี่ยวชาญด้าน AI ไม่น้อยกว่า 90,000 คน และนักพัฒนา AI อย่างน้อย 50,000 คน เพื่อลดการพึ่งพาเทคโนโลยีต่างชาติ
ปรับบทบาทจาก “ผู้ใช้” สู่ “ผู้สร้าง”
ศ.ดร.อาร์ทูโร บริส จาก IMD World Competitiveness Center ชี้ว่า ไทยยังมีจุดอ่อนตรงที่เป็น “ผู้ใช้มากกว่าผู้พัฒนา” ทำให้คะแนนด้าน AI ลดลงถึง 8 อันดับเมื่อเทียบกับปีก่อน พร้อมเสนอให้ไทยตั้งเป้าหมายชัดเจนและพัฒนากำลังคนในทุกภาคส่วน ยกตัวอย่างประเทศเอสโตเนียซึ่งใช้ AI และเศรษฐกิจดิจิทัลขับเคลื่อน E-Government จนเป็นผู้นำยุโรป
ประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งที่ 2 (Workshop#2) ในหัวข้อ "การขับเคลื่อนประเทศสู่ความสามารถในการแข่งขันทางดิจิทัลระดับโลก : Driving A Nation Towards world Digital Competitiveness" จัดโดย กระทรวงดีอี สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) และ สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) จากการประชุม Workshop#2 มีข้อเสนอสำคัญ 4 ด้านเพื่อเพิ่มขีดความสามารถแข่งขัน ได้แก่
1. พัฒนากำลังคนดิจิทัลและสร้างผู้เชี่ยวชาญ–ผู้พัฒนาเทคโนโลยี
2. เร่งสร้างรัฐบาลดิจิทัลและฐานข้อมูลแห่งชาติ รวมถึงพัฒนา LLM ภาษาไทย
3. ส่งเสริมการใช้และกำกับดูแล AI อย่างเหมาะสม พร้อมเป็นเจ้าของเทคโนโลยี
4. สร้าง Digital Platform และ E-Commerce ระดับชาติ ผ่านการร่วมทุนรัฐ–เอกชน เพื่อทำ Super App และ Market Place เชื่อมกับไปรษณีย์ไทย ลดพึ่งพาแพลตฟอร์มต่างชาติ และเปิดโอกาส SMEs เข้าสู่ตลาดต้นทุนต่ำ







