จากรางวัลโลกสู่ยุทธศาสตร์ชาติ ศูนย์ AOC 1441 สยายปีกบทบาท มุ่งสู่ดิจิทัล “คอมมานด์เซ็นเตอร์”

ศูนย์ AOC 1441 ไทยสร้างชื่อคว้ารางวัล WSIS Prizes 2025 จากสหภาพไอทียู เตรียมต่อยอดสู่ศูนย์สั่งการไซเบอร์ระดับภูมิภาค ผสาน AI - API ข้ามหน่วยงาน ต่อยอดสู่เครือข่ายอาเซียน และสร้างภูมิคุ้มกันไซเบอร์ระดับชุมชนอย่างยั่งยืนหวังเป็นโมเดลนำร่องให้ประเทศเพื่อนบ้าน
KEY
POINTS
- ศูนย์ AOC 1441 คว้ารางวัลชนะเลิศ WSIS Prizes 2025 จาก ITU ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นในการขยายบทบาทสู่เวทีสากล
- ศูนย์ฯกำลังเปลี่ยนผ่านจากศูนย์ประสานงานสู่การเป็น "ดิจิทัลคอมมานด์เซ็นเตอร์" เต็มรูปแบบ ผ่านระบบ AOT-4 ที่เชื่อมโยงข้อมูลจากทุกส่วน
- นำเทคโนโลยี AI และ Machine Learning มาใช้เพื่อวิเคราะห์ คาดการณ์ และตรวจจับภัยคุกคามออนไลน์แบบเรียลไทม์
- รัฐบาลมีความตั้งใจขยายบทบาทสู่การเป็นต้นแบบความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยมีหลายชาติในอาเซียนนำโมเดลของศูนย์ฯไปปรับใช้
- วางยุทธศาสตร์ชาติในการสร้างสังคมไซเบอร์ที่ปลอดภัย โดยเน้นการพัฒนาบุคลากร (Cyber Warrior) และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน
ในยุคที่ภัยหลอกลวงออนไลน์พัฒนาอย่างรวดเร็ว ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านอาชญากรรมออนไลน์ (AOC 1441) กลายเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนนโยบายไซเบอร์ของไทย ล่าสุดศูนย์ฯ ได้รับรางวัล WSIS Prizes 2025 จากสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) ด้านการสร้างความเชื่อมั่นและความปลอดภัยในการใช้ ICT ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญที่ผลักดันให้โมเดลการทำงานของไทยได้รับการยอมรับในระดับโลก
ใช้ AI ตรวจจับ-อายัดแบบเรียลไทม์
ดร. เอกพงษ์ หริ่มเจริญ ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านอาชญากรรมออนไลน์ (Anti Online Scam Operation Center: AOC) 1441 ” ภายใต้การดำเนินงานของกระทรวงดีอี กล่าวหลังได้รับรางวัลชนะเลิศ “Winners” ประเภท การสร้างความเชื่อมั่นและความปลอดภัยในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (Category 5 Building confidence and security in the use of ICTs) จาก ITU ซึ่งเป็น 1 ใน 19 โครงการที่ได้รับรางวัล Winners ที่มอบให้กับโครงการซึ่งมีบทบาทโดดเด่นในการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยในปีนี้มีโครงการที่ส่งเข้าร่วมการประกวด 973 โครงการจากหน่วยงานต่างๆ ทั่วโลก
สำหรับ “ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านอาชญากรรมออนไลน์ (Anti Online Scam Operation Center: AOC)” เป็นกลไกหลักของประเทศไทยในการรับแจ้งเหตุ ป้องกัน และจัดการกับภัยหลอกลวงออนไลน์
โดยเริ่มก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 มี เป้าหมายหลัก 4 ประการ ได้แก่
- อายัดบัญชีคนร้ายทันที เพื่อปกป้องความเสียหายของผู้เสียหายอย่างเร่งด่วน
- ติดตามความคืบหน้าทุกขั้นตอน เพื่อให้ผู้เสียหายได้รับความเป็นธรรมและสามารถตรวจสอบสถานะได้ตลอด
- เร่งรัดกระบวนการคืนเงิน เพื่อให้สามารถนำเงินคืนผู้เสียหายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- เพิ่มประสิทธิภาพการจับกุมและขยายผล เพื่อให้สามารถดำเนินคดีกับเครือข่ายอาชญากรไซเบอร์อย่างครอบคลุม
เปลี่ยนบทบาทสู่ศูนย์สั่งการกลาง
ดังนั้น ความสำเร็จของศูนย์ AOC 1441 ไม่ได้หยุดอยู่แค่การจัดการคดีออนไลน์กว่า 1.18 ล้านเคส หรือลดความเสียหายทางเศรษฐกิจลง 42% แต่กำลังเดินหน้าเข้าสู่เฟสใหม่ ผ่านระบบ “AOT-4” หรือ Anti Online Scam Operation Technology – Phase 4 ซึ่งเปลี่ยนบทบาทจากศูนย์ประสานงาน เป็นศูนย์สั่งการกลาง รวมข้อมูลเป็นแบบวันสต๊อปเซอร์วิส
โดยจะเชื่อมต่อ API จากสถาบันทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อสั่งอายัดบัญชี ตรวจสอบเส้นทางเงิน และติดตามผลแบบเรียลไทม์ บน dashboard เดียว
พร้อมกันนี้ ศูนย์ AOC 1441ยังเตรียมใช้ปัญญาประดิษฐ์ AI และ Machine Learning วิเคราะห์พฤติกรรมต้องสงสัย คาดการณ์เส้นทางเงินล่วงหน้า และตรวจจับกลโกงใหม่อัตโนมัติ ซึ่งถือเป็นระบบแรกของภูมิภาคที่รวมการป้องกัน สกัด และตอบโต้ไว้ในแพลตฟอร์มเดียว
เป็นต้นแบบให้กลุ่มประเทศในภูมิภาค และก้าวสู่เวทีสากล
หลายประเทศในอาเซียน ส่งคณะผู้แทนเข้ามาเยี่ยมและสอบถามการทำงานของศูนย์ AOC 1441 เพื่อเป้าหมายในการขยายความร่วมมือกันในกลุ่มประเทศในอาเซียน ผ่านการจัดตั้งหน่วยงานที่คล้ายกับ AOC 1441 ของไทย นอกจากนั้น ประเทศนอกกลุ่มอาเซียน และองค์กรระหว่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา UNODC, OECD ต่างให้ความสนใจและพร้อมร่วมมือกับประเทศไทย
เพื่อยกระดับการรับมือภัยไซเบอร์ที่ข้ามพรมแดน และเตรียมเสนอให้ ITU พิจารณาตั้งศูนย์ AOC ไทยเป็นศูนย์ฝึกอบรมด้านความมั่นคงไซเบอร์ของภูมิภาค ส่งเสริมให้มีศูนย์กลางกลางเพื่อแชร์ข้อมูล scam แบบรายวัน และแลกเปลี่ยนข้อมูลทำงานร่วมกับ
ขณะเดียวกัน ยังผลักดันให้แพลตฟอร์มดิจิทัลระดับโลกต้องรับผิดชอบมากขึ้น หากมีการใช้ระบบของตนก่ออาชญากรรม โดยเฉพาะการหลอกลงโฆษณาบนแพลตฟอร์มต่างๆ ที่ต้องใช้บัตรเครดิต ซึ่งแพลตฟอร์มต่างๆ สามารถตรวจสอบตัวตนและที่มาของมิจฉาชีพได้
อีกหนึ่งจุดแข็งของศูนย์ AOC 1441 คือการลงทุนพัฒนาบุคลากร ผ่านโครงการ Cyber Warrior ที่คัดเลือกคนรุ่นใหม่ทั่วประเทศอบรมให้เป็นนักสืบไซเบอร์
โดยเป็นทำงานร่วมกับตำรวจและหน่วยข่าวกรอง พร้อมกับการพัฒนา Cyber Mediator ผู้ไกล่เกลี่ยระหว่างผู้เสียหายกับธนาคารและแพลตฟอร์มดิจิทัล เพื่อให้การคืนเงินเกิดขึ้นได้เร็ว ลดภาระในกระบวนการยุติธรรม
สร้างสังคมไทยให้มีภูมิคุ้มกันไซเบอร์
ดร.เอกพงษ์ เสริมว่า ในอนาคตเราวางเป้าลดคดีอาชญากรรมออนไลน์ลง 70% ใน 5 ปีข้างหน้า ผ่านการสร้างโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่เชื่อมโยงทุกภาคส่วน พร้อมให้ประชาชนเข้าถึงเครื่องมือความปลอดภัย เช่น ระบบตรวจสอบบัญชีต้องสงสัย และระบบแจ้งเหตุอัตโนมัติ
จากวันนี้ไป ศูนย์ AOC 1441 จะไม่หยุดอยู่ที่การอายัดบัญชี แต่จะเป็นหัวใจของการออกแบบสังคมปลอดภัยในยุคดิจิทัล ที่ประชาชนรู้เท่าทัน เทคโนโลยีล้ำหน้า และทุกคนสามารถช่วยกันยับยั้งภัยร้ายได้ทันเวลา
คนไทยไม่ควรหลอกคนไทยกันเองเพื่อผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ แล้วปล่อยให้คนต่างชาติที่อยู่เบื้องหลังร่ำรวยจากเงินจากประเทศไทย
คำพูดนี้ไม่ใช่เพียงอุดมการณ์ แต่คือภารกิจที่ศูนย์ AOC 1441 กำลังทำให้เป็นจริง บนเวทีโลก
เขา ยังเปิดเผยแผนต่อไปว่า จะเดินหน้าสร้าง แพลตฟอร์มกลางให้ประชาชนมีส่วนร่วม ด้วยระบบเปิดที่สามารถให้ผู้ใช้งานทั่วไปตรวจสอบเบื้องต้นว่าเบอร์โทรหรือบัญชีธนาคารต้องสงสัยหรือไม่ผ่านแอปพลิเคชันเดียว รวมถึงสร้างฐานข้อมูลกลางที่แชร์ข้อมูลระหว่างธนาคาร แพลตฟอร์ม และหน่วยงานรัฐแบบอัตโนมัติ
นอกจากนี้ ยังมีแผนพัฒนา “AOC Citizen Network” เครือข่ายอาสาสมัครไซเบอร์ในระดับตำบล ที่จะร่วมเก็บข้อมูลกลโกงในพื้นที่ และช่วยประสานงานเบื้องต้นกับศูนย์ AOC เพื่อให้การแจ้งเหตุและตอบสนองในระดับชุมชนเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องรอเพียงส่วนกลาง
ทั้งหมดนี้คือการวางรากของ “เศรษฐกิจปลอดภัย” ที่ทุกภาคส่วนมีบทบาท และสามารถป้องกันภัยล่วงหน้าได้ ตั้งแต่ระดับผู้ใช้งานทั่วไปไปจนถึงระดับนโยบาย







