เอไอกับราคาที่โลกต้องจ่าย | คิดอนาคต

สัปดาห์ที่ผ่านมา OpenAI ได้เปิดตัว GPT-5 ซึ่งโฆษณาว่าเป็นโมเดลเอไอที่ทรงพลังที่สุดในปัจจุบัน เปรียบเสมือนการรวมทีมผู้เชี่ยวชาญระดับปริญญาเอกทุกสาขาไว้ในโมเดลเดียว
และกำลังมุ่งหน้าสู่การพัฒนา ปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป (AGI) ที่มีศักยภาพเหนือกว่ามนุษย์ในทุกด้านในอนาคต
เมื่อเอไอมีความสามารถสูงขึ้นจนสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้อย่างมหาศาล นี่ถือเป็นโอกาสที่ทุกคนควรเรียนรู้และปรับใช้กับงานหรือธุรกิจของตน อย่างไรก็ตาม ภายใต้แสงสว่างของความก้าวหน้านี้ ยังมีเงามืดที่ไม่ค่อยถูกพูดถึง นั่นคือการใช้ทรัพยากรอย่างหนักหน่วงและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งหลายคนอาจยังไม่ตระหนักถึง
ประเด็นนี้ถูกถ่ายทอดอย่างชัดเจนในหนังสือ Empire of AI: Dreams and Nightmares in Sam Altman’s OpenAI โดย Karen Hao บรรณาธิการอาวุโสด้านปัญญาประดิษฐ์แห่ง MIT Technology Review ซึ่งสะท้อนให้เห็นภาพผสมระหว่างความทะเยอทะยานอันยิ่งใหญ่ของ OpenAI และราคาที่โลกต้องจ่าย ทั้งในมิติของพลังงาน น้ำ และความเหลื่อมล้ำด้านการเข้าถึงทรัพยากร
การฝึกโมเดลภาษาขนาดใหญ่ เช่น GPT-4 หรือ GPT-5 ไม่ได้เป็นเพียงกิจกรรมทางคอมพิวเตอร์ หากแต่เป็นกระบวนการที่ทิ้ง “รอยเท้าคาร์บอน” ขนาดมหึมาอยู่เบื้องหลัง ระบบเหล่านี้ต้องอาศัยการประมวลผลจำนวนมหาศาลจากชิปประสิทธิภาพสูง ซึ่งต้องทำงานอย่างต่อเนื่องในศูนย์ข้อมูล (data centers) ที่ต้องระบายความร้อนตลอดเวลา ผลที่ตามมาคือการใช้พลังงานอย่างมหาศาล ทั้งเพื่อขับเคลื่อนการประมวลผลและเพื่อควบคุมอุณหภูมิให้คงที่
มีข้อมูลระบุว่า เพียงการฝึกโมเดลขนาดใหญ่หนึ่งครั้ง อาจใช้พลังงานเทียบเท่ากับการขับรถยนต์รอบโลกหลายรอบ และยังต้องใช้น้ำเพื่อการทำความเย็นในปริมาณที่สามารถหล่อเลี้ยงชีวิตมนุษย์ได้หลายพันคน ตัวเลขเหล่านี้ไม่เพียงน่าตกใจ แต่ยังสะท้อนให้เห็นมิติที่มักถูกมองข้ามเมื่อกล่าวถึงความก้าวหน้าของเอไอ
ประเด็นด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมไม่ได้เป็นเพียงผลข้างเคียงของการพัฒนา แต่กำลังกลายเป็น “เงื่อนไขเชิงภูมิรัฐศาสตร์” ของอุตสาหกรรมเอไอ บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำที่แข่งขันกันสร้างโมเดลอัจฉริยะที่สุด จำเป็นต้องครอบครองทรัพยากรสำคัญอย่างพลังงานสะอาด ชิปประมวลผล และพื้นที่สำหรับศูนย์ข้อมูล การกระจายศูนย์ข้อมูลไปทั่วโลก อาจทำให้ภาระด้านสิ่งแวดล้อมกระจุกอยู่ในพื้นที่หนึ่ง ขณะที่ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและกำไรกลับถูกเก็บเกี่ยวในอีกพื้นที่หนึ่ง
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีความย้อนแย้งในเป้าหมายการพัฒนาเอไอเพื่อ “ประโยชน์ของมนุษยชาติ” อุดมการณ์ที่บริษัทเอไอชั้นนำประกาศยึดถือมาตั้งแต่ต้น หากมองผ่านมิติด้านสิ่งแวดล้อม จะพบว่าผลกระทบกลับตกอยู่กับชุมชนที่ไม่มีส่วนร่วมในกระบวนการพัฒนาเลยแม้แต่น้อย Karen Hao ถ่ายทอดภาพนี้ไว้อย่างคมชัดว่า
ขณะที่ผู้คนใน Silicon Valley กำลังถกเถียงเรื่องเอไอที่เท่าเทียมและมีจริยธรรม โลกอีกฟากหนึ่งกลับต้องเผชิญกับการขุดแร่หายากในประเทศกำลังพัฒนา การขนส่งพลังงานในปริมาณมหาศาล และกองซากของเสียอิเล็กทรอนิกส์ที่ยากจะกำจัดอย่างยั่งยืน
ความเหลื่อมล้ำนี้ไม่เพียงเกิดขึ้นระหว่างประเทศ แต่ยังปรากฏภายในประเทศมหาอำนาจเอง หนังสือได้ยกตัวอย่างชุมชนท้องถิ่นในรัฐไอโอวา ซึ่งถูกเลือกให้เป็นที่ตั้งของดาต้าเซนเตอร์ยักษ์สำหรับฝึกโมเดลเอไอ แม้การมาของบริษัทยักษ์ใหญ่จะนำรายได้และการจ้างงานมาบ้าง แต่ก็แลกมากับการแย่งชิงทรัพยากรน้ำและพลังงานจากคนท้องถิ่น ชาวบ้านต้องเผชิญกับน้ำใต้ดินลดลง ฝุ่นละออง และเสียงรบกวนจากการก่อสร้างและการเดินเครื่องอย่างต่อเนื่อง
การพัฒนาเอไอในมิติหนึ่งจึงมีลักษณะคล้ายอุตสาหกรรมสกัดทรัพยากรที่เคยถูกวิจารณ์ในศตวรรษที่ผ่านมา มากกว่าจะเป็นเศรษฐกิจแห่งความรู้ที่ไร้ผลกระทบ
นอกจากนี้ หนังสือยังตั้งคำถามต่อ “ความฝันแบบยูโทเปีย” ของผู้นำวงการเอไออย่าง Sam Altman หรือ Elon Musk ที่เชื่อว่าการสร้างเอไออัจฉริยะเหนือมนุษย์ (AGI) จะนำเข้าสู่ยุคทองของมนุษยชาติ แต่กลับไม่ได้อธิบายชัดเจนว่าเราจะข้ามผ่านช่วงเวลาที่สิ้นเปลืองทรัพยากรและสร้างผลกระทบต่อโลกได้อย่างไร หลายครั้ง Altman ถูกตั้งคำถามว่า เขากำลังสร้างเทคโนโลยีสีเขียวจริง ๆ หรือเพียงสร้างระบบที่ยังคงพึ่งพาการขุดเหมือง พลังงานมหาศาล และเครือข่ายไฟฟ้าอุตสาหกรรม แบบเดียวกับระบบทุนนิยมคลาสสิกที่เขาอ้างว่าจะท้าทาย
ขณะเดียวกัน ความพยายามทำให้เอไอเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมยังอยู่ในขั้นเริ่มต้น และมีแนวโน้มถูกมองว่าเป็นของฟุ่มเฟือยมากกว่าความจำเป็น แม้หลายบริษัทหันมาใช้พลังงานหมุนเวียน แต่ก็ยังดำเนินไปภายใต้กรอบของการขยายขนาดโมเดลอย่างไม่หยุดยั้ง คล้ายการขับรถไฟฟ้าที่เร็วและใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่ตั้งคำถามว่าเราจำเป็นต้องเดินทางหรือไม่ ประเด็นนี้จึงเรียกร้องให้สังคมกลับมาทบทวนเชิงคุณค่าว่า เอไอจำเป็นต้องใหญ่ขึ้น ฉลาดขึ้น และเร็วขึ้นตลอดไปหรือไม่ หรือเราควรออกแบบเอไอที่เล็กลง ฉลาดอย่างพอเพียง และยั่งยืนมากกว่า
บทสรุปของเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่การหยุดพัฒนาเอไอ แต่อยู่ที่การพัฒนาและใช้อย่างมีความรับผิดชอบ ด้วยการนำมิติสิ่งแวดล้อมและความเป็นธรรมมาร่วมออกแบบตั้งแต่ต้น การตั้งคำถามว่าสังคมต้องการ AI แบบใด และผลกระทบที่ยอมรับได้คืออะไร คือหัวใจของการกำหนดอนาคตใหม่ของเอไอ การสร้างเอไอที่ดีไม่ควรแลกมาด้วยการทำลายสิ่งแวดล้อม หรือการลิดรอนสิทธิของผู้ที่ไม่มีส่วนร่วมกับเทคโนโลยีนั้นเลย เพราะสุดท้ายแล้ว มนุษยชาติไม่ได้อยู่ในโลกดิจิทัลอย่างเดียว แต่ยังต้องพึ่งพาโลกธรรมชาติใบนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้







