สิ่งที่หายไปในการสื่อสารยุคใหม่

เราควรหันกลับมาให้ความสำคัญกับการสื่อสารที่เป็นธรรมชาติมากขึ้น
ในยุคดิจิทัลที่สมาร์ตโฟนและแพลตฟอร์มต่างๆ กลายเป็นศูนย์กลางการสื่อสาร หลายคน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่อายุต่ำกว่า 40 ปี มักเลือกใช้การส่งข้อความเป็นหลัก ไม่ว่าจะผ่าน LINE, Messenger หรือแอพลิเคชันอื่น ๆ ด้วยความสะดวกรวดเร็วและไม่ต้องเผชิญหน้ากับผู้ฟังโดยตรง
ที่สำคัญคือพวกเขามักจะถือว่า การส่งข้อความเสร็จสิ้นแล้วโดยไม่ค่อยติดตามว่าปลายทางเข้าใจสิ่งที่สื่อหรือไม่ ปัญหานี้ส่งผลให้เกิดการสื่อสารที่ไม่สมบูรณ์ ทั้งในชีวิตส่วนตัวและในแวดวงการทำงาน
เพราะคนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่หลีกเลี่ยงการโทรศัพท์หรือพูดคุยแบบเผชิญหน้า ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว การสื่อสารด้วยเสียงหรือการพบปะกันยังเป็นช่องทางที่ให้ผลลัพธ์สูงกว่าข้อความเพียงอย่างเดียว
หนึ่งในเหตุผลหลัก คือ คนรุ่นใหม่รู้สึกว่าการส่งข้อความทำให้มีเวลาคิดและร่างคำตอบก่อนที่จะสื่อออกไป พวกเขากลัวว่าการพูดคุยแบบสด ๆ อาจมีข้อผิดพลาดหรือพูดสิ่งที่ไม่ตั้งใจออกไป
แต่ในความเป็นจริงแล้ว การพูดคุยสามารถอธิบายสิ่งที่ซับซ้อนได้ละเอียดและเข้าใจง่ายกว่าการพิมพ์ข้อความ อีกทั้งยังสามารถปรับน้ำเสียงหรือใช้คำพูดให้เหมาะกับสถานการณ์ได้ทันที ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบที่ข้อความไม่สามารถทำได้
อีกเหตุผล คือ ความไม่มั่นใจหรือไม่พร้อมในการสื่อสารด้วยโทรศัพท์ แต่สิ่งนี้แก้ไขได้ด้วยการเตรียมตัวล่วงหน้า เช่น การซ้อมพูดหน้ากระจกหรือพูดคนเดียวเพื่อสร้างความมั่นใจ การพูดคุยเป็นการสื่อสารแบบสองทางที่ทำให้เราสามารถตรวจสอบความเข้าใจได้ทันที ซึ่งย่อมดีกว่าการส่งข้อความที่ต้องรอการตอบกลับและอาจทำให้ความเข้าใจคลาดเคลื่อน
การพูดคุยแบบเห็นหน้า หรืออย่างน้อยผ่านเสียงทางโทรศัพท์ มีความได้เปรียบในหลายด้าน ประการแรกคือความเป็นธรรมชาติของการสื่อสาร เราสามารถใช้โทนเสียง น้ำเสียงที่สูงต่ำ และการเน้นจังหวะ เพื่อสื่ออารมณ์ ความรู้สึก และเจตนาที่แท้จริง
ไม่ว่าจะเป็นการขอโทษ การขอบคุณ หรือการอธิบายความรู้สึกละเอียดอ่อน การส่งข้อความสั้น ๆ อาจทำให้ความหมายบิดเบือนได้ง่ายและนำไปสู่ความเข้าใจผิดโดยไม่ตั้งใจ
นอกจากนี้ การพบปะกันยังเปิดโอกาสให้เราสื่อสารแบบโต้ตอบทันทีหากคู่สนทนามีข้อสงสัย เราสามารถอธิบายเพิ่มหรือให้ข้อมูลเชิงลึกได้ทันที ต่างจากข้อความที่มักต้องเขียนอธิบายยาว ๆ และยังอาจถูกตีความผิดไปได้ การประชุมแบบพบปะกันยังช่วยให้การสื่อสารมีความชัดเจนขึ้น เพราะผู้พูดและผู้ฟังมีปฏิสัมพันธ์ทางสายตา สีหน้า ท่าทาง และสภาพแวดล้อมร่วมกัน ทำให้เกิดความเข้าใจอย่างรอบด้าน
แม้การส่งข้อความจะสะดวกและรวดเร็ว แต่ข้อเสียคือทำให้เราคุ้นเคยกับการสื่อสารแบบ สั้น กระชับ มากเกินไป หลายครั้งที่ข้อความซึ่งเขียนด้วยความตั้งใจดีอาจถูกอ่านในโทนเสียงผิด ทำให้เกิดความเข้าใจผิด หรือสร้างความรู้สึกไม่ดีโดยไม่ตั้งใจ นอกจากนี้ คนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยเริ่มมีปัญหา “สมาธิสั้น” เนื่องจากคุ้นเคยกับข้อความสั้น ๆ จนไม่สามารถจดจ่อกับบทสนทนายาว ๆ หรือฟังผู้อื่นจนจบ
ทักษะการสื่อสารด้วยเสียงและการพบปะไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ แต่เป็นสิ่งที่ฝึกฝนได้ การกล้าที่จะโทรศัพท์คุย หรือพูดคุยต่อหน้า ช่วยเสริมทักษะการโน้มน้าวใจ การสื่อสารอารมณ์ และการสร้างความประทับใจแก่ผู้ฟัง
โดยเฉพาะในบริบทของการทำงาน การเจรจาธุรกิจ หรือการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน การสื่อสารด้วยเสียงและการพบหน้ากันสามารถประหยัดเวลาได้มากกว่าการส่งข้อความยืดเยื้อไปมา และยังช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นขึ้น
แม้เทคโนโลยีการสื่อสารแบบข้อความจะสะดวก แต่ก็ไม่สามารถแทนที่การสื่อสารแบบพบหน้าหรือโทรศัพท์ได้ การเห็นหน้าและการพูดคุยทำให้เราเข้าใจอารมณ์ ความตั้งใจ และท่าทีของคู่สนทนาได้อย่างชัดเจน เป็นการสื่อสารที่มีความสมบูรณ์และลดความคลาดเคลื่อนลงอย่างมาก
หากเราไม่อยากให้สังคมในอนาคตกลายเป็นโลกที่ทุกคนคุยกันด้วยข้อความสั้น ๆ เพียงอย่างเดียว เราควรหันกลับมาให้ความสำคัญกับการสื่อสารที่เป็นธรรมชาติมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการโทรศัพท์ หรือการพบหน้าเพื่อพูดคุยให้เกิดความเข้าใจอย่างแท้จริง







