Digital HR สไตล์ญี่ปุ่นกับการบริการของ SaaS

Digital HR สไตล์ญี่ปุ่นกับการบริการของ SaaS

ในตำราเรียนการบริหารทรัพยากรมนุษย์ทั่วไป จะแบ่งงานด้าน HR ออกเป็น 3 หน้าที่หลัก คือ หนึ่ง งานสรรหาและรับสมัคร (attract) เกี่ยวกับการดึงดูดคนเก่งให้เข้ามาสมัครงานกับองค์กร

การคัดเลือกคนที่ใช่ตรงตามเป้าหมายองค์กร รวมทั้งการสร้างภาพลักษณ์เป็นนายจ้างในดวงใจ (employer of choice) สอง งานพัฒนาทรัพยากรมนุษย์  (develop) หลังจากรับพนักงานเข้ามาแล้ว จะอบรมให้พนักงานทำงานปัจจุบันให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น

และปรับตัวกับงานในอนาคตได้อย่างไร เป็นเรื่องของการ upskill และ reskill ซึ่งจะมีเรื่องการประเมินผลปฏิบัติงาน หาจุดแข็งจุดด้อยของพนักงานเพื่อการพัฒนาต่อไปรวมอยู่ด้วย และสาม งานรักษาพนักงานให้อยู่กับองค์กร (maintain) เกี่ยวกับค่าจ้าง สวัสดิการ ความผูกพันกับองค์กร และการลาออก 

หนึ่งในธุรกิจขาขึ้นที่เติบโตอย่างรวดเร็วโดยใช้ AI (ปัญญาประดิษฐ์) และเทคโนโลยีคลาวด์ (cloud) เข้ามาทำงานแทนคน มีบริการใหม่ออกมาอยู่เรื่อยๆ ก็คือ SaaS ย่อมาจาก Software as a Service หรือการให้บริการซอฟต์แวร์ผ่านระบบคลาวด์ โดยผู้ใช้สามารถเข้าถึงและใช้งานซอฟต์แวร์ ผ่านทางบราวเซอร์อินเทอร์เน็ตหรือแอปพลิเคชันได้ โดยไม่ต้องติดตั้งเซิร์ฟเวอร์หรือบำรุงรักษาซอฟต์แวร์เอง

ผู้ให้บริการ SaaS จะเป็นผู้ดูแลให้ ซึ่งปัจจุบันช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ตั้งแต่งานด้านบัญชี (เช่น การออกใบสั่งซื้อ ใบเสร็จ คลังข้อมูลบัญชี) ด้านกฎหมาย (เช่น การร่างสัญญาธุรกิจ การเซ็นเอกสารสำคัญ)

งานผลิตสื่อมัลติมีเดีย (เช่น คู่มือ คลิปเสียง-ภาพ สไลด์พรีเซนต์ เว็บไซต์ แปลภาษา) โดยเน้นงานเอกสารที่เคยใช้คนและใช้เวลานาน แต่ปัจจุบันเอไอทำแทนได้แล้วในพริบตา ไปจนถึงงานด้านโลจิสติกส์ ด้านการตลาด ด้านการเงิน ที่เป็นสาขาใหญ่ๆ อีกมากมาย

ในตอนนี้ขอเล่างานด้าน Digital HR ที่เริ่มใช้เอไอช่วยลดงานเอกสารจำนวนมาก แบ่งเป็น 10 หมวดบริการ (service domain) ด้วยกัน ขอแนะนำตัวอย่างในญี่ปุ่นเพื่อเป็นแนวทางในการทำธุรกิจของคนรุ่นใหม่ ได้แก่ 1) เอไอสแกนใบหน้า เช่น AIZE Biz  2) เอไอตรวจการเข้าออก เช่น safie Entrance2, Synergy Marketing 

ตัวอย่างเช่น คนขับรถไปงานโอซาก้า เอ็กซ์โป รวมทั้งรถบัสนำเที่ยว จะต้องมีคิวอาร์โค้ดสแกนกับเครื่องตรงจุดเข้าลานจอดรถ ต้องจองล่วงหน้าทั้งเวลาเข้าไป เวลาออก และต้องจอด ณ จุดที่กำหนดไว้ การเข้าออกของรถและผู้มาเยี่ยมชมงานทั้งหมดจะควบคุมด้วยเอไอ ทำให้สามารถรองรับผู้เข้างานเฉลี่ย 1.5 แสนคนต่อวันได้อย่างราบรื่น

3) เครื่องมือสื่อสารกับพนักงาน (communication tool) เช่น slack, chatwork คล้ายคลึงกับการใช้ไลน์และแชทบอท แต่ป้องกันไม่ให้ข้อมูลรั่วไหลไปภายนอกองค์กรได้ 4) บันทึกการใช้งานคอมพิวเตอร์ (PC Log) เช่น MaLionCloud, Jasmy ซึ่งหมวด 1-4 รวมเรียกว่า ระบบบริหารจัดการเวลาการทำงานบนคลาวด์

โดยมีบริษัทที่ให้บริการรวมทั้ง 4 หมวด ได้แก่ AKASHI ของ Sony ซึ่งมีฟังก์ชันควบคุมการทำงานทางไกล (telework) ฟังก์ชันคำนวณค่าจ้างแยกตามช่วงเวลาต่อวัน ฟังก์ชันคำนวณชั่วโมงทำงานและจำนวนคนต่อโปรเจ็กต์เพื่อวัดประสิทธิภาพ เป็นต้น 

ต่อมา 5)  งานคำนวณค่าจ้าง เช่น Money Forward, freee ที่ช่วยคำนวณเงินเดือน โบนัส ค่าล่วงเวลา ประกันสังคม เบี้ยประกันต่างๆ การขึ้นเงินเดือน ฯลฯ 6) งานจ่ายค่าจ้างล่วงหน้า เช่น Payme, Rakuten Hayatoku, AirWork ของ Recruit 7) งานควบคุมการทำงานเป็นกะ เช่น Shift  8) การฝึกอบรมและพัฒนา ที่ญี่ปุ่นเรียกว่า Talent Management เช่น HRBrain มีคอร์ส e-learning ให้เรียนออนไลน์ที่ใดก็ได้

9) การบริหารสุขภาพ ที่ญี่ปุ่นเรียกว่า Well-being Management เช่น workwell, wemex จะดูแลงานตรวจสุขภาพประจำปี ประวัติสุขภาพ การติดต่อนัดหมายแพทย์ ค่ารักษาพยาบาล การวัดความเครียดที่เกิดจากการทำงาน วัดภาวะซึมเศร้า ฯลฯ

และ 10) การบริหารงานบุคคล เช่น SmartHR, officestation เช่น สัญญาจ้าง/ลาออก ขั้นตอนการเข้าทำงาน/ลาออกจากงาน การยื่นเรื่องออนไลน์  แบบสอบถามพนักงาน บัตรประวัติพนักงาน ฯลฯ ที่น่าสนใจคือ ยังไม่มีบริษัทใดที่สามารถให้บริการครบทั้ง 10 หมวดนี้ได้ ต่างคนต่างมีจุดแข็งเป็นของตนเอง 

เนื่องด้วยมีการเก็บข้อมูลบนคลังคลาวด์ ค่าบริการของ SaaS จึงคิดเป็นการซื้อ License หรือการเช่าใช้ซอฟต์แวร์เป็นรายเดือนหรือรายปี บริษัทที่สนใจใช้บริการต้องจ่ายตามลักษณะการใช้จริง เช่น คำนวณเหมาตามจำนวนพนักงานบ้าง ระยะเวลาการใช้บ้าง หรือค่าธรรมเนียมการใช้งานต่อครั้งของพนักงานบ้าง

โดยจะซื้อแยกหมวด (al carte) หรือซื้อเป็นแพคเกจก็ได้ จึงเรียกว่า “ธุรกิจให้เช่าซอฟต์แวร์” สำหรับบริษัทขนาดเล็กที่ไม่มีวิศวกรพัฒนาและดูแลระบบเองก็ถือว่าคุ้มค่ามาก เพราะเลือกซื้อได้ตามต้องการ แต่ต้องศึกษาว่าจะเลือกซื้อของบริษัทใดบ้าง เพราะมีบริการทับซ้อนกันอยู่

ขณะที่บริษัทใหญ่ที่มีวิศวกรเอง หลังจากพัฒนาระบบและทดลองใช้กับบริษัทในเครือแล้ว สามารถแยกตัวไปตั้งบริษัทใหม่เพื่อให้บริการ SasS ก็มีเป็นจำนวนมาก อนึ่ง ใน 10 หมวดบริการนี้ ยังไม่รวมงานรับสมัครพนักงานใหม่และงานสืบทอดตำแหน่ง (skill matching) ขอยกไปเล่าต่อในโอกาสหน้า

ทั้งนี้แม้ธุรกิจ SaaS กำลังอยู่ขาขึ้นและเกิดบริษัทใหม่จำนวนมาก แต่รายได้เฉลี่ยของพนักงานกลุ่มนี้ไม่สูงนัก อาจเป็นเพราะหากมีบริษัทใดคิดบริการใหม่ออกมาได้ ก็จะมีบริษัทอื่นพร้อมเลียนแบบเข้าร่วมตลาดทันที จึงเกิดสงครามราคาได้ง่าย

หากมองหาบริษัทที่มีรายได้สูงจริงๆ คงต้องดูบริษัทที่เป็น core technology ในโครงสร้างพื้นฐาน (infrastructure) ของเอไอและคลาวด์ ที่น่าจะแข่งกันอย่างดุเดือดอยู่ในสหรัฐอเมริกาและจีนในขณะนี้ อย่างไรก็ดี อายุเฉลี่ยของพนักงานในธุรกิจ SaaS ยังอยู่ที่ช่วงอายุ 30 ปีเท่านั้น มารอดูพลังของคนรุ่นใหม่ว่าจะรังสรรค์บริการใหม่ๆ ให้โลกใบนี้น่าอยู่ขึ้นอย่างไรกันดีกว่าค่ะ