AI กับอนาคตตลาดแรงงาน เมื่อโลกทำงานเปลี่ยน 'ใครจะอยู่ ใครจะไป'

แม้ผมจะไม่ได้เชื่อว่า AI อาจจะแย่งงานมนุษย์ได้ไปเกือบหมดอย่างนักวิจัยระบุไว้ แต่ก็เชื่อว่างานหลายอย่างจะหายไปและ AI มาเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก และที่แน่คือคนที่ไม่ใช้ AI จะถูกแย่งงานจากคนที่ใช้ AI อย่างแน่นอน
KEY
POINTS
- AI มีศักยภาพในการแทนที่งานหลายร้อยล้านตำแหน่งทั่วโลก โดยขยายผลกระทบจากงานที่ทำซ้ำๆ ไปสู่งานทักษะระดับกลาง เช่น งานบริหาร การตลาด และการเขียนโปรแกรมพื้นฐาน
- อาชีพที่ต้องใช้ทักษะด้านอารมณ์ความรู้สึก ความเข้าอกเข้าใจ การตัดสินใจเชิงจริยธรรม และความคิดสร้างสรรค์ที่เป็นต้นฉบับ เช่น ครู พยาบาล นักบำบัด และศิลปิน ยังเป็นกลุ่มที่ AI ไม่สามารถทดแทนได้
- ผู้ที่จะอยู่รอดในตลาดแรงงานยุคใหม่คือผู้ที่ปรับตัว เรียนรู้ตลอดชีวิต และใช้ AI เป็นเครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพ แทนที่จะมองว่าเป็นภัยคุกคาม เนื่องจากคนที่ไม่ใช้ AI จะถูกแทนที่โดยคนที่ใช้ AI
- เทคโนโลยี AI ไม่เพียงแต่เข้ามาแทนที่งานเดิม แต่ยังสร้างตำแหน่งงานใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน เช่น วิศวกรพรอมต์ (Prompt Engineer) และผู้เชี่ยวชาญด้านจริยธรรม AI
ผมได้อ่านโพสต์ใน Facebook เกี่ยวกับข่าว “‘นักวิจัยเตือน อีก 20 ปี หุ่นยนต์-AI แย่งงานมนุษย์เกือบหมด เว้นแค่อาชีพที่ ‘ใช้ใจ-สร้างความไว้ใจ’ แต่งานพวกนี้ มีน้อยเกินจะรองรับ 4 พันล้านคน” แล้วได้อ่านความคิดเห็นต่างๆ ที่ค่อนข้างหลากหลายเกี่ยวกับ AI ในโพสต์นั้น มีคนจำนวนหนึ่งยังเห็นแย้งและไม่เชื่อว่า AI จะสามารถทำงานแทนมนุษย์ได้ แม้แต่งานคอลเซ็นเตอร์ เพราะคิดว่า AI ไม่สามารถตอบคำถามได้ดีเท่ามนุษย์
แม้ผมจะไม่ได้เชื่อว่า AI อาจจะแย่งงานมนุษย์ได้ไปเกือบหมดอย่างนักวิจัยระบุไว้ แต่ก็เชื่อว่างานหลายอย่างจะหายไปและ AI มาเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก และที่แน่คือคนที่ไม่ใช้ AI จะถูกแย่งงานจากคนที่ใช้ AI อย่างแน่นอน
หากเราติดตามข่าวสาร จะพบคำเตือนเรื่องการเข้ามาทำงานแทนมนุษย์ของ AI ในหลายๆ อาชีพ ผมขอยกตัวอย่างผลการวิเคราะห์จากสำนักข่าวและสื่อต่างๆ อาทิ
รายงานของ Goldman Sachs ในช่วงปี 2023 ระบุว่า AI มีศักยภาพในการแทนที่งาน 300 ล้านตำแหน่งทั่วโลก คิดเป็น 9.1% ของงานทั้งหมด โดยงานที่หายไปจะกระจุกตัวในอาชีพที่เสี่ยงต่อการถูกแทนที่โดยเครื่องมือ Generative AI เช่น การเขียน การถ่ายภาพ และการพัฒนาซอฟต์แวร์ McKinsey เตือนว่า 14% ของแรงงานทั่วโลก หรือ 375 ล้านคน อาจต้องเปลี่ยนอาชีพเนื่องจาก AIWEF ระบุมาว่า 41% ของนายจ้างทั่วโลก ตั้งใจลดแรงงานเพราะนำ AI มาทำงานแทนในอีก 5 ปี
นอกจากนี้ในปัจจุบันเราเริ่มเห็นผลกระทบของ AI ต่อการจ้างงานในหลายอาชีพ ดังจะเห็นจากข่าวต่างๆ เช่น ในครึ่งปีแรกของปี 2025 บริษัทอุตสาหกรรมเทคโนโลยีลดพนักงานกว่า 78,000 ตำแหน่ง มีการนำ AI มาใช้งาน โดยเฉพาะงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาซอฟต์แวร์และการจัดการข้อมูลตั้งแต่ปี 2000 ระบบอัตโนมัติทำให้ตำแหน่งงานในภาคการผลิตหายไป 1.7 ล้านตำแหน่ง
ทั้งนี้ระบบอัตโนมัติ เช่น หุ่นยนต์ในโรงงาน มีผลกระทบต่องานที่ต้องใช้แรงงานซ้ำๆ และอาจทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นการสำรวจของ Resume Templates ที่สอบถามผู้นำธุรกิจในสหรัฐฯ เกือบ 1,000 ราย พบว่า 90% ของบริษัทได้นำ AI มาใช้แล้ว และ 30% ได้แทนที่พนักงานด้วยเครื่องมือ AI ในปี 2025 ตัวเลขนี้คาดว่าจะเพิ่มเป็น 38%
จริงๆ แล้วในปัจจุบัน AI ได้เข้ามาทำงานแทนที่หรือเข้ามาช่วยงานมนุษย์ได้ในหลายอาชีพแล้ว และกำลังเกิดขึ้นจริงในหลายอุตสาหกรรม โดย AI ได้เริ่มเปลี่ยนแปลงตลาดแรงงานอย่างเงียบๆ และเข้ามาแทนที่งานที่เคยถือว่ามั่นคง เนื่องจากเทคโนโลยี AI ระบบอัตโนมัติ และหุ่นยนต์มีความฉลาดและราคาถูกลง งานที่เกี่ยวกับการทำซ้ำ การจดจำรูปแบบ และการตัดสินใจเบื้องต้นจึงถูกแทนที่ด้วยระบบ AI ที่ทำงานได้เร็วกว่า มีประสิทธิภาพสูงกว่า และแม่นยำกว่ามนุษย์ บริษัทต่างๆ นำ AI มาใช้เพื่อประหยัดต้นทุน เพิ่มความเร็ว และให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง
งานที่ AI แทนที่ไปแล้วมีหลากหลายอาชีพ เช่น พนักงานป้อนข้อมูล พนักงานโทรขาย พนักงานบริการลูกค้า (คำถามเบื้องต้น) พนักงานต้อนรับ แคชเชียร์ (ระบบชำระเงินอัตโนมัติ) คนงานโกดัง พนักงานตรวจสอบการพิมพ์ ผู้ช่วยด้านกฎหมายระดับพื้นฐาน นักวิเคราะห์การตลาด พนักงานบัญชี และอื่นๆ อีกมากมาย
การเข้าใจรูปแบบการเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยให้คนทำงานและธุรกิจสามารถปรับตัวให้เข้ากับความเป็นจริงในโลกที่ AI มีบทบาทสำคัญในการดำเนินงานประจำวัน พร้อมทั้งเปิดโอกาสใหม่ในการพัฒนาทักษะและอุตสาหกรรมที่ตอบสนองต่อความต้องการของยุค Aคำถามที่กำลังตามมาเริ่มเปลี่ยนจาก “งานใดที่ AI แทนที่ไปแล้ว” มาเป็น “งานใดจะถูกแทนที่ต่อไป” คลื่นแรกของระบบอัตโนมัติมุ่งเป้าไปที่งานที่คาดเดาได้และซ้ำซาก แต่ระยะต่อไปจะขยายเข้าสู่อุตสาหกรรมที่เคยถือว่ามั่นคงสูง รวมถึงงานสร้างสรรค์ การจัดการ และเทคนิค
การเปลี่ยนแปลงนี้มีผลกระทบค่อนข้างสูง รายงานปี 2024 จาก World Economic Futures Institute ระบุว่า 45% ของงานที่ต้องใช้ทักษะระดับกลาง เช่น การบริหารโครงการ งานกลยุทธ์การตลาด และการเขียนโปรแกรมพื้นฐาน อาจสามารถทำงานได้อย่างอัตโนมัติภายในปี 2040 ซึ่งรอบนี้จะไม่ใช่เรื่องของคนงานในโรงงานหรือแคชเชียร์เท่านั้น แต่รวมถึงงานสำนักงานที่ต้องใช้การวิเคราะห์ การตัดสินใจ และการคิดสร้างสรรค์
ความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของ AI ในด้านการประมวลผลภาษาธรรมชาติ การมองเห็นของเครื่องจักร และโมเดลสร้างสรรค์ ทำให้ AI สามารถทำงานทางปัญญาที่ซับซ้อนมากขึ้น โมเดล AI อย่าง GPT Gemini หรือ Grok อาจ ไม่ได้เป็นเพียงแค่ผู้ช่วยงานอีกต่อไป แต่ในหลายกรณีอาจเริ่มทำงานแทนที่มนุษย์แล้ว ภัยคุกคามไม่ใช่แค่การหายไปของตำแหน่งงาน แต่รูปแบบและทักษะของการทำงานกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจนบทบาทหน้าที่ของหลายตำแหน่งงานอาจถูกนิยามใหม่
โดยมีโจทย์สำคัญว่า 'อะไรคือสิ่งที่ AI ทำได้ดีกว่ามนุษย์?คำถามที่หลายคนก็อาจสงสัยว่า แล้วอาชีพใดที่ AI ยังไม่สามารถเข้ามาแทนที่ได้ จะพบว่าส่วนใหญ่เป็นงานที่ต้องอาศัยทักษะด้านอารมณ์ความรู้สึกและความเข้าอกเข้าใจผู้อื่นในระดับสูง (empathy) เช่น ครู พยาบาล นักสังคมสงเคราะห์ และนักบำบัด อาชีพเหล่านี้จำเป็นต้องสร้างความไว้วางใจ ความใกล้ชิด และให้การดูแลด้านจิตใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่ AI ไม่สามารถทำได้เทียบเท่ามนุษย์
นอกจากนี้ ยังรวมถึงผู้เชี่ยวชาญด้านทรัพยากรบุคคล (HR) ที่ต้องจัดการกับสถานการณ์ที่ละเอียดอ่อนและต้องการการปฏิสัมพันธ์ส่วนบุคคล เช่น การสัมภาษณ์งาน หรือการแจ้งข่าวการเลิกจ้าง ซึ่งต้องใช้ความเห็นอกเห็นใจอย่างมาก รวมถึงงานที่ต้องใช้การตัดสินใจที่ซับซ้อนทางศีลธรรมและจริยธรรม ความคิดสร้างสรรค์ที่เป็นต้นฉบับ หรือทักษะทางกายภาพก็ยังเป็นสิ่งที่ AI ทำได้ยาก
ตัวอย่างเช่น ทนายความที่ต้องใช้ความเข้าใจด้านจริยธรรมในการให้คำปรึกษา นักเขียนและศิลปินที่ต้องสร้างสรรค์ผลงานใหม่ๆ ที่มีเอกลักษณ์และความแปลกใหม่ซึ่ง AI ทำได้เพียงลอกเลียนจากสิ่งที่มีอยู่เดิม รวมถึงช่างฝีมือต่างๆ เช่น ช่างประปาหรือช่างไฟฟ้า ที่ต้องใช้ทักษะการทำงานด้วยมือที่แม่นยำและแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ซึ่งเป็นสิ่งที่เกินความสามารถของ AI ในปัจจุบัน
แต่ในขณะเดียวกัน AI ก็ยังสร้างอาชีพใหม่ๆ ขึ้นมาด้วย เนื่องจากกระบวนการพัฒนา AI นั้นต้องการมนุษย์เป็นอย่างมากในการออกแบบ ดูแล ปรับปรุง และฝึกฝนอัลกอริทึม มนุษย์ยังคงมีความจำเป็นในการป้อนข้อมูลเพื่อฝึกฝน การบำรุงรักษาระบบ การตรวจสอบเพื่อให้แน่ใจว่า AI ทำงานอย่างถูกต้องและมีจริยธรรม และการจัดการกับข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น
สิ่งเหล่านี้ก่อให้เกิดตำแหน่งงานที่ไม่เคยมีมาก่อน เช่น วิศวกรพรอมต์ (Prompt Engineer) ผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้างคำสั่งให้ AI ผู้เชี่ยวชาญด้านจริยธรรม AI (AI Ethics Specialist) ที่คอยกำกับดูแลการใช้งานให้เหมาะสม และผู้ฝึกสอนการใช้ AI (AI Literacy Trainer) ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงตลาดแรงงานไปสู่งานรูปแบบใหม่ คล้ายกับการปฏิวัติอุตสาหกรรมที่ผ่านมาในอดีต
ผมมักคุยกันกับเพื่อนรุ่นเดียวกันอยู่เสมอว่า เราโชคดีที่เป็นคน Gen-X หรือ Baby Boomer ในยุคที่ AI เพิ่งเข้ามา จึงอาจรอดจากผลกระทบของ AI แต่คนรุ่นใหม่หลายคนอาจกังวลว่าแล้วจะต้องเตรียมตัวเพื่อให้อยู่รอดในยุค AI อย่างไร
สิ่งสำคัญคือการปรับตัวโดยเรียนรู้ทักษะใหม่ และยอมรับ AI เป็นเครื่องมือในการทำงานร่วมกัน ให้มองว่า AI เป็นผู้ช่วยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถของเรา แทนที่จะมองเป็นภัยคุกคาม ต้องยอมรับการเรียนรู้ตลอดชีวิต และต้องพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ ทักษะอย่างความเห็นอกเห็นใจ ภาวะผู้นำ และการทำงานร่วมกันเป็นสิ่งที่ AI ยังทำได้ยาก
สุดท้ายต้องติดตามความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมของเรา การเข้าใจวิธีการบูรณาการ AI สามารถช่วยให้เราคาดการณ์ การเปลี่ยนแปลงและเตรียมตัวอย่างเหมาะสม







