ความสุขในอนาคต

ความสุขในอนาคต

สิ่งสำคัญที่สุดคือการสร้างแก่นแท้ภายในให้เด็กมีความคิด ทัศนคติ และคุณค่าที่มั่นคง

เกริ่นไว้ในสัปดาห์ที่แล้วว่าในช่วง 2-3 ทศวรรษที่ผ่านมา โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจากยุคก่อนอินเทอร์เน็ตสู่ยุคดิจิทัลที่ข้อมูลทุกอย่างอยู่ปลายนิ้วสัมผัส เทคโนโลยีเปลี่ยนรูปแบบการทำงาน การเรียนรู้ และความสัมพันธ์ในครอบครัว

แต่ความคาดหวังของพ่อแม่ที่อยากให้ลูกมีชีวิตที่ดีขึ้นยังคงเหมือนเดิม เพียงแต่ความหมายของ “ชีวิตที่ดีขึ้น” ในยุคนี้ซับซ้อนกว่าเดิม

ความท้าทายไม่ได้อยู่แค่การให้ลูกเรียนโรงเรียนดีๆ หรือมีสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัย แต่คือการปลูกฝังให้เด็กมีวิจารณญาณในการแยกแยะข้อมูล รู้จักตั้งคำถาม และรับผิดชอบต่อสิ่งที่เลือกเชื่อและทำ

สิ่งสำคัญที่สุดคือการสร้าง “แก่นแท้ภายใน” ให้เด็กมีความคิด ทัศนคติ และคุณค่าที่มั่นคง เด็กที่มีแก่นแข็งแรงจะยืนหยัดได้แม้ล้มและเรียนรู้จากความผิดพลาด พ่อแม่ควรให้ความสำคัญกับความสุขที่แท้จริงมากกว่า

หลายครอบครัวอาจยึดติดกับการเลี้ยงลูกให้เชื่อฟังคำสั่ง เป็นเด็กว่านอนสอนง่าย เชื่อฟังพ่อแม่และครูอาจารย์โดยไม่ตั้งคำถาม แต่นี่คือสิ่งที่เราต้องการจริงหรือ? หรือเรากำลังปั้นเด็กที่ไม่กล้าคิดเอง ไม่กล้าตั้งคำถาม และไม่สามารถพึ่งพาการตัดสินใจของตัวเองได้จริงหรือ?

เมื่อมองย้อนกลับไปในยุค 1960 เราจะเห็นภาพของวัยรุ่นที่เป็นฮิปปี้ปฏิเสธกฎระเบียบและความรับผิดชอบ ไม่สนใจความถูกผิด และอยากทำทุกอย่างตามใจตัวเอง แม้จะดูเป็นอิสระ แต่ก็เป็นอีกขั้วหนึ่งของการเลี้ยงดู

ที่ขาดกรอบความคิดและวินัย พ่อแม่ส่วนใหญ่ไม่ได้อยากให้ลูกเป็นแบบนั้นเช่นกัน เพราะนั่นอาจนำไปสู่ชีวิตที่ไร้เป้าหมายและการใช้ชีวิตอย่างไม่รับผิดชอบ

สิ่งที่พ่อแม่ส่วนใหญ่ต้องการจริง ๆ คือการมีลูกที่รู้จัก "สมดุล" เด็กที่รู้จักแยกแยะสิ่งที่ถูกผิด มีทักษะการตัดสินใจด้วยตัวเอง ภูมิใจกับความสำเร็จของตนเอง แม้จะไม่เก่งเลิศเลอหรือประสบความสำเร็จจนเป็นที่หนึ่ง มีถ้วยรางวัลมากมายแต่เป็นคนที่คิดเอง ทำเอง และรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ของการกระทำของตัวเองได้ แค่นี้ก็นับว่าเพียงพอแล้วสำหรับการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพในอนาคต

การสร้างให้ลูกคิดเป็น ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ในเวลาอันสั้น แต่ต้องอาศัยเวลาและการสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมการเรียนรู้ พ่อแม่ควรเป็นผู้ที่ให้โอกาส ให้แรงบันดาลใจ และสร้างพื้นที่ปลอดภัยในการตั้งคำถามหรือทดลองทำสิ่งใหม่ๆ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ควรเข้มงวดจนลูกไม่กล้าคิดเอง เพราะกลัวผิดพลาด และก็ไม่ควรปล่อยให้ลูกอิสระมากเกินไปจนขาดระเบียบวินัยและไม่รู้จักกาลเทศะ
การเลี้ยงลูกให้คิดเป็นและมีความรับผิดชอบนั้นต้องเดินทางสายกลาง พ่อแม่ควรเป็นผู้ชี้แนะมากกว่าผู้สั่งการ โดยการให้ลูกได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ลองทำ ลองผิด และเรียนรู้ด้วยตัวเอง ซึ่งสิ่งนี้จะช่วยให้เด็กมีภูมิคุ้มกันทางความคิด มีความยืดหยุ่น และพร้อมรับมือกับปัญหาที่จะเจอในอนาคต

แม้กระบวนการนี้จะไม่ทำให้ลูกเรียนเก่งที่สุด หรือมีงานที่มีรายได้สูงที่สุด แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือการทำให้เขามีความสุขในการใช้ชีวิต รู้จักคุณค่าของตัวเอง และสามารถเลือกเส้นทางชีวิตที่ตรงกับความฝันของตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งพาการยืนยันจากคนอื่น

สิ่งที่พ่อแม่ควรตระหนักคือ ความสำเร็จของลูกไม่จำเป็นต้องวัดจากรายได้มหาศาลหรือการมีชื่อเสียง แต่อยู่กับการที่ลูกสามารถดูแลตัวเองได้ มีความสุขกับสิ่งที่ทำ และใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า

แม้จะผิดพลาดหรือเจออุปสรรคก็สามารถเรียนรู้และปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้นได้ เพราะคนที่รู้จักล้มแล้วลุกเองได้นั้น ต้องมีรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการใช้ชีวิตในอนาคต