‘รักษ์โลก’ อย่างไรให้ได้ประโยชน์กับ 'ธุรกิจ' เริ่มต้นจาก 'วิสัยทัศน์' ที่ต้องชัดเจน

‘รักษ์โลก’ อย่างไรให้ได้ประโยชน์กับ 'ธุรกิจ' เริ่มต้นจาก 'วิสัยทัศน์' ที่ต้องชัดเจน

ผลกระทบจากภาวะ ‘โลกร้อน’ ที่ทวีความรุนแรงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศที่แปรปรวน หรือภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้คนหันมาให้ความสำคัญกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม

ผลกระทบจากภาวะ ‘โลกร้อน’ ที่ทวีความรุนแรงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศที่แปรปรวน หรือภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้คนหันมาให้ความสำคัญกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เพื่อช่วยยืดอายุโลกของเรา อย่างการเลือกใช้สินค้าหรือบริการต่างๆ ที่คำนึงถึงที่มาหรือกระบวนการผลิตซึ่งต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น 

บริษัทที่ปรึกษาระดับโลกอย่าง PWC เผยว่า แม้ค่าครองชีพจะสูงขึ้น แต่ 4 ใน 5 ของผู้บริโภคยินดีที่จะจ่ายในราคาสูงขึ้นถึง 9.7% เพื่อสนับสนุนสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม* การส่งเสริมความยั่งยืนในด้านสิ่งแวดล้อมจึงไม่ได้เป็นเพียงแค่ความรับผิดชอบขององค์กรเท่านั้น แต่ยังถือเป็นแนวทางของการดำเนินธุรกิจในอนาคต

แต่การจะเปลี่ยนองค์กรให้กลายเป็น “องค์กรที่รักษ์โลก” ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องเริ่มต้นจากการมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน อาศัยความมุ่งมั่นและความร่วมมือจากทุกคนในองค์กร ตลอดจนการลงทุนทั้งในด้านเม็ดเงินและทรัพยากรต่างๆ จึงทำให้การเปลี่ยนแนวทางการดำเนินธุรกิจหรือปรับระบบการทำงาน เพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกให้เกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อม จะต้องนำมาซึ่งประโยชน์ในเชิงธุรกิจสู่องค์กรในระยะยาวด้วย ซึ่งอันที่จริงแล้ว การนำปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมเข้ามาเป็นตัวแปรในการดำเนินธุรกิจ สามารถสร้างโอกาสและประโยชน์ให้กับธุรกิจในหลากหลายด้าน 

ไม่ว่าจะเป็น การลดต้นทุน จากการวางระบบการทำงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น การสร้างรายได้ที่เพิ่มขึ้น จากการแตกไลน์ธุรกิจใหม่ๆ การเพิ่มความนิยมให้กับองค์กร จากกระแสรักษ์โลกที่เติบโตขึ้น และการปรับตัวเตรียมพร้อมรับความเสี่ยง จากภัยธรรมชาติ หรือกฎหมายข้อบังคับต่างๆ ในอนาคต เป็นต้น

หนึ่งในองค์กรที่สามารถนำเรื่องความยั่งยืนมาสร้างผลประโยชน์ในเชิงธุรกิจได้อย่างแท้จริง และได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคมากขึ้นเรื่อยๆ คือ อิเกีย (IKEA) หนึ่งในบริษัทเฟอร์นิเจอร์รายใหญ่ที่สุดของโลก ที่ได้กำหนดเป้าหมายสู่ Net Zero ภายในปี 2050 ทั้งห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain)

อิงกา กรุ๊ป (Ingka Group) บริษัทบริหารแฟรนไชส์ของอิเกียเผยว่า ตั้งแต่ปี 2016 จนถึงปี 2024 บริษัทฯ ได้เริ่มเปลี่ยนมาใช้การขนส่งผ่านยานพาหนะพลังงานสะอาด และเปลี่ยนมาใช้ไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดในร้านอิเกีย ซึ่งสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงไปถึง 24.3% ในขณะที่ผลประกอบการทางรายได้เพิ่มขึ้นถึง 30.9% 

นอกจากนี้ อิเกีย ยังลงทุนในระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ด้วยการเปลี่ยนวัสดุที่ใช้ผลิตเป็นวัสดุรีไซเคิล หรือหมุนเวียนมากกว่า 50% เกิดเป็นไลน์สินค้ารักษ์โลก พร้อมเปิดตัว “โครงการ IKEA Pre-Owned” ให้ลูกค้าสามารถนำเฟอร์นิเจอร์เก่ามาขายคืน หรือซื้อเฟอร์นิเจอร์มือสอง เพื่อยืดระยะการใช้งานและลดปริมาณขยะ ในขณะที่ยังได้ขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่เพิ่มอีกด้วย

อีกหนึ่งองค์กรที่ทำเรื่องนี้ได้ดีคือ บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ อย่าง แอปเปิล (Apple) ที่ได้วางเป้าหมายที่จะเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2030 โดยในปี 2024 บริษัทฯ เผยว่าสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไปได้ถึง 55% จากการเปลี่ยนมาใช้พลังงานสะอาดทั้งห่วงโซอุปทาน และการใช้วัสดุรีไซเคิล 

ขณะที่รายได้บริษัทฯ ยังคงเติบโตถึง 64% โดยความมุ่งมั่นด้านสิ่งแวดล้อมของแอปเปิลยังได้สะท้อนผ่านการพัฒนาสินค้าที่พยายามเปลี่ยนมาใช้วัสดุรีไซเคิลเพิ่มขึ้น ซึ่งเมื่อปีที่ผ่านมาแอปเปิลยังได้เปิดตัว Mac mini ที่มีกระบวนการผลิตที่เป็นกลางทางคาร์บอน 100% และใช้วัสดุรีไซเคิลถึง 50% เอาใจแฟนๆ สายรักษ์โลกอีกด้วย

สำหรับ ‘แกร็บ’ เราขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้แนวคิด Triple Bottom Line ที่เชื่อว่าการขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนต้องควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม จึงได้ตั้งเป้าหมายสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2040 ผ่านการดำเนินการต่างๆ อาทิ การส่งเสริมการใช้ยานยนต์คาร์บอนต่ำหรือคาร์บอนเป็นศูนย์ โดยในประเทศไทย เราได้ริเริ่มโครงการส่งเสริมให้คนขับสามารถเข้าถึงยานยนต์ไฟฟ้าได้ผ่านโปรแกรม ‘ผ่อนขับรับรถ’ และ ‘เช่าครบจบบนแอป’ ซึ่งนอกจากจะช่วยลดต้นทุนให้กับคนขับแล้ว ยังลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ธรรมชาติอีกด้วย โดยปัจจุบันเรามียานยนต์ไฟฟ้าให้บริการในประเทศไทยแล้วกว่า 10,000 คัน

การนำเทคโนโลยีมาช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยนำเทคโนโลยี AI มาใช้เพื่อคำนวณเส้นทางและจัดสรรงานให้คนขับ เพื่อให้ทุกการเดินทางมีประสิทธิภาพ ช่วยคนขับทั้งประหยัดน้ำมัน และลดปล่อยคาร์บอนอีกด้วย ซึ่งในปีที่ผ่านมา สามารถย่นระยะทางเพื่อไปรับสินค้าได้ถึง 50% การเชิญชวนลูกค้าให้ร่วมรักษาสิ่งแวดล้อมไปกับเรา อย่างการเปิด ฟีเจอร์ “งดรับช้อนส้อมพลาสติก” ช่วยลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวไปแล้วกว่า 929 ล้านชุดทั่วภูมิภาค หรือโครงการ Green Programme Donation ที่ชวนผู้ใช้บริการบริจาค 1-2 บาททุกครั้งที่ใช้บริการ และนำเงินไปซื้อคาร์บอนเครดิตเพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยในปีที่ผ่านมา เราได้ลดการปล่อยคาร์บอนไปถึง 936,000 ตันและปลูกต้นไม้ไปกว่า 600,000 ต้นทั่วภูมิภาค

โลกธุรกิจปัจจุบัน เป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมไม่ใช่แค่เรื่องของความรับผิดชอบต่อสังคมอีกต่อไป แต่คือหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของการแข่งขัน องค์กรที่กล้านำเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมมาเป็นหัวใจ ไม่เพียงสร้างธุรกิจที่ยืดหยุ่นและเข้มแข็งขึ้นได้เท่านั้น แต่ยังคว้าความไว้วางใจจากผู้บริโภคยุคใหม่ สร้างผลกระทบเชิงบวกให้โลกใบนี้ได้แท้จริง

*ข้อมูลจากผลสำรวจ “Voice of Consumer” ปี 2024 โดย PWC