จับตาแผนคุม 'ชิป AI' สหรัฐ เขย่าลงทุน 'เทค-ดาต้าเซนเตอร์'

แผนคุมส่งออกชิป ‘เอไอ’ สหรัฐ เขย่าบรรยากาศลงทุนเทค ดาต้าเซนเตอร์ แม้ยังไม่ชัดเจนในรายละเอียด หวั่นกระทบความเชื่อมั่นนักลงทุน ด้าน “กัลฟ์” ย้ำยังเดินหน้าธุรกิจดาต้าเซนเตอร์ต่อ ทุกอย่างเป็นไปตามแผน นักวิเคราะห์มองยังเร็วไปที่จะคาดการณ์ แนะไทยเตรียมพร้อมชี้เป็นสัญญาณเตือนเร่งปรับตัว
KEY
POINTS
- สหรัฐ มีแนวโน้มจำกัดการส่งออกชิป AI ประสิทธิภาพสูงมายังไทย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่น และเป้าหมายของไทยในการเป็นศูนย์กลางดิจิทัลแห่งอาเซียน
- บริษัท GULF ซึ่งลงทุนในธุรกิจดาต้าเซนเตอร์ ยืนยันว่ายังไม่ได้รับผลกระทบ และโครงการยังดำเนินไปตามแผนเดิมที่จะเปิดให้บริการเฟสแรกในปี 2568
- ความเคลื่อนไหวดังกล่าวอาจส่งผลต่อภาพลักษณ์ของไทยในสายตานักลงทุนต่างชาติ หากถูกมองว่ามีความเสี่ยงในการถ่ายโอนเทคโนโลยีไปยังจีน
- ผู้เชี่ยวชาญมองว่าผลกระทบโดยตรงอาจจำกัด เนื่องจากไทยนำเข้าชิป AI โดยตรงน้อยมาก แต่สถานการณ์นี้ถือเป็นสัญญาณเตือนให้ภาครัฐ และเอกชนต้องวางมาตรการรองรับ
สัญญาณจากสหรัฐที่เตรียมจำกัดการส่งออกชิปเอไอ ประสิทธิภาพสูงจากบริษัทอย่าง อินวิเดีย (NVIDIA) ไปยังประเทศคู่ค้าอย่าง “มาเลเซีย” และ “ไทย” อาจกำลังสร้างความกังวลในหมู่นักลงทุน ผู้พัฒนาระบบเทคโนโลยีในภูมิภาค แม้ขณะนี้ยังไม่มีการตัดสินใจอย่างเป็นทางการจากรัฐบาล โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ แต่เพียงข่าวดังกล่าวก็เพียงพอสั่นคลอนความเชื่อมั่นของไทยในบทบาท “ศูนย์กลางดิจิทัลแห่งอาเซียน” ที่กำลังเร่งผลักดันอยู่
นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เปิดเผยว่า กรณีทรัมป์จำกัดการส่งออกชิปปัญญาประดิษฐ์ (AI) ไปยังมาเลเซีย และไทย บริษัทยังไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใดจากกรณีดังกล่าว ทั้งกลุ่มลูกค้า และธุรกิจดาต้าเซนเตอร์ผ่านบริษัทลูก GSA DC (Gulf Siam AI Data Center) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนกับเอไอเอส และอินวิเดียยังเป็นไปตามแผน
ทั้งนี้ มีแผนเปิดให้บริการเฟสแรกช่วงกลางปี 2568 และขยายเป็น 2 เฟส รวมกำลังการให้บริการกว่า 50 เมกะวัตต์ และแผนของกัลฟ์ ยังร่วมมือกับ กูเกิล คลาวด์ เพื่อพัฒนาด้าน เอไอ และไซเบอร์ซิเคียวริตี้
พร้อมยังคงเป้าหมายรายได้ปี 2568 เติบโต 20-25% จากปีก่อน ทั้งนี้รายได้หลักยังคงมาจากธุรกิจพลังงาน (ไฟฟ้าและก๊าซธรรมชาติ แต่จะมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจใหม่เพิ่มเติม เช่น ดาต้าเซนเตอร์ และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
“จากกรณีเกี่ยวกับทรัมป์ ตอนนี้เท่าที่รับฟังจากทีมยังไม่ได้รับผลกระทบใดๆ เราก็พยายามติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีความเสี่ยงจากภูมิรัฐศาสตร์และนโยบายการค้าของทรัปม์ แต่ช่วงที่เหลือปีนี้ เรายังเดินหน้าต่อตามแผนที่วางไว้ไม่เปลี่ยนแปลง จากการที่เราวางตัวเองในฐานะโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของภูมิภาค ซึ่งช่วยลดความผันผวนจากภายนอก” นางสาวยุพาพิน กล่าว
เร็วไปที่จะวิเคราะห์ ไร้ความชัดเจน
ด้านแหล่งข่าวในวงการเทคโนโลยีไทย ระบุว่า อาจยังเร็วเกินไปที่จะวิเคราะห์ผลกระทบในเชิงลึก เนื่องจากไม่มีความชัดเจนว่า ทรัมป์ จะเดินหน้าตามแผนนี้จริงหรือไม่ และรายละเอียดเงื่อนไขเป็นอย่างไร แต่หากไทยนำเข้าชิปเอไอมาใช้เฉพาะภายในประเทศไม่ได้ทำหน้าที่เป็น “ตัวกลาง” ให้กับจีนก็อาจหลีกเลี่ยงผลกระทบโดยตรงได้
อย่างไรก็ตาม ระยะยาวความเคลื่อนไหวนี้ อาจส่งผลต่อภาพลักษณ์เชิงยุทธศาสตร์ของไทยในสายตานักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อไทยชูจุดแข็งด้าน โลจิสติกส์ พลังงาน และเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ เป็นปัจจัยดึงดูดการลงทุน หากถูกมองว่ามีความเสี่ยงในการ “ถ่ายโอนเทคโนโลยี” ไปยังจีน หรือขาดมาตรการควบคุมที่ชัดเจนเพียงพอ อาจทำให้ผู้ประกอบการระดับโลกตัดสินใจชะลอหรือเปลี่ยนเป้าหมายลงทุน
ขณะที่ ตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมา บริษัทเทคโนโลยีระดับโลกอย่าง ไมโครซอฟท์, เอดับบลิวเอส และกูเกิล คลาวด์ ต่างลงทุนสร้างดาต้าเซนเตอร์ และระบบคลาวด์ในไทย แต่หากสหรัฐประกาศใช้มาตรการที่กำหนดให้ “ผู้ให้บริการดาต้าเซนเตอร์ในต่างประเทศต้องได้รับการรับรองจากสหรัฐ” ก็เท่ากับว่า โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของไทยอาจต้องผ่านการตรวจสอบ และคัดกรองมากขึ้น ส่งผลให้ความน่าสนใจในการลงทุนอาจลดลง
กระทบในวงจำกัด
ขณะที่ นักวิเคราะห์บางกลุ่มมองว่า ผลกระทบโดยตรงอาจยังจำกัด เพราะการพัฒนาดาต้าเซนเตอร์ หรือบริการคลาวด์ภายในไทย ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อส่งต่อเทคโนโลยีไปยังจีนแต่หากมองในมุม “ความเชื่อมั่น” และ “ความโปร่งใส” ไทยยังต้องมีมาตรการรองรับที่ชัดเจน
สำหรับภาคการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ของไทย ซึ่งส่วนใหญ่ทำหน้าที่ประกอบและทดสอบ (packaging & testing) มากกว่าการนำเข้าชิปเอไอ โดยตรง นักวิเคราะห์ คาดว่า ผลกระทบจะอยู่ในวงจำกัด ยกเว้นในกรณีที่ลูกค้าของบริษัทไทยมีการเชื่อมโยงกับกลุ่มที่ใช้ชิปจากสหรัฐเพื่อส่งต่อไปยังจีน ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ยังตรวจสอบได้ยาก
ทั้งนี้ การนำเข้าชิป เอไอ ไม่ได้ทำได้ง่าย เพราะส่วนใหญ่เป็นการสั่งผลิตแบบเฉพาะเจาะจง (Made-to-Order) เพื่อให้เหมาะสมกับลักษณะ
งานนั้นๆ โดยต้องมีการจัดสรรโควตาจากผู้ผลิตอย่าง ‘อินวิเดีย’ และผ่านกระบวนการผลิตที่ใช้เวลานานหลายเดือน พิจารณาตามศักยภาพของแต่ละราย และข้อกำหนดการส่งออกของสหรัฐ
ไทยนำเข้าชิปเอไอน้อยมาก
ปัจจุบันประเทศไทยนำเข้าชิป เอไอ ในสัดส่วนที่น้อยมาก และส่วนใหญ่อยู่ในรูปของอุปกรณ์สำเร็จรูป เช่น สมาร์ตโฟนหรือเครื่องเล่นเกม แต่สถานการณ์นี้ควรถูกมองเป็น “สัญญาณเตือน” สำคัญที่รัฐบาล และภาคอุตสาหกรรมควรเร่งดำเนินการ 3 แนวทางสำคัญ ได้แก่ 1.สร้างระบบตรวจสอบ และควบคุมใช้ชิปเอไอในประเทศ 2.ยกระดับความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับสหรัฐและพันธมิตร 3.ทบทวนกลยุทธ์ดิจิทัล เอไอ กระจายความเสี่ยงเทคโนโลยีไม่พึ่งพาประเทศใดประเทศหนึ่ง
สำหรับ ชิปเอไอ มีหลายประเภท ที่เป็นตัวหลักและเป็นที่พูดถึงในตลาด คือ GPU (Graphics Processing Unit) ออกแบบมาเพื่อประมวลผลภาพกราฟิก และสามารถทำงานแบบขนาน เหมาะกับการฝึก และรันโมเดล เอไอ โดยเฉพาะดีปเลิร์นนิ่งใช้พลังงานมาก ราคาสูง เช่น NVIDIA A100
อีกตัว คือ TPU (Tensor Processing Unit) หรือ ชิปเฉพาะทางที่กูเกิลพัฒนาเพื่อเร่งการประมวลผลของ TensorFlow หรือแพลตฟอร์ม แมชชีนเลิร์นนิ่ง ส่วน CPU (Central Processing Unit) คือ ชิปประมวลผลใช้กับคอมพิวเตอร์ทั่วไป ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่องานเอไอประมวลผลช้าเมื่อเทียบกับ GPU หรือชิปเฉพาะทาง
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







